วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ทัวร์ออสเตรเลีย ซิดนีย์- แคนเบอร์ร่า

วันเดินทาง 5 - 9 กันยายน 2008


5/9 เตรียมตัวสบาย ๆ ตกเย็นฝนตกชนิดหนักไม่ลืมหูลืมตาเลย น้องเค้าอาสาไปส่ง เราบอกไม่ต้องหรอก ไปแท็กซี่ดีกว่า สุดท้ายด้วยความงกค่ารถ ไปก้อไป ออกจากบ้านมาตอนห้าโมงครึ่ง วิ่งไปได้แค่แถววงแหวน ฝนยังคงตกหนัก และแล้วเหตุการณ์ที่คิดเล่น ๆ ไว้ก้อเป็นจริง รถน้องไปชนท้ายคันหน้า 4 คันรวด ที่คิดเล่น ๆ ก็คือ ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาระหว่างที่ฝนตกจะทำยังไงดี นี่แค่คิดยังเป็นจริงเลย ซวยว่ะลงมาดูที่รถคันหน้า ไม่มีใครเป็นอะไร แค่ยุบกันคนล่ะนิดคนล่ะหน่อย บอกให้โทรหาประกันให้เค้าจัดการแต่เรานี่สิจะทำยังไง ชนกันอยู่ตรงช่องทางด่วนซะด้วย ไม่มีท่าว่ารถแท็กซี่จะผ่านมาเลย เปียกหมดทั้งตัวรถสัก 20 นาที เหมือนสวรรค์มีตา มีรถแท็กซี่ผ่านมาคันหนึ่ง เค้าว่ากำลังจะเข้าบ้าน เลยเรียกไปสนามบิน
สุวรรณภูมิ คนขับรถขอคิดเพิ่ม 50 บาท ปากจะบอกแล้วเชียวว่า ฉวยโอกาสตอนคนไม่มีทางเลือก แต่สมองคิดไวกว่า ถ้าพูดไปอย่าหวังจะมีรถให้เรียกอีก เอาก้อเอา ไปถึงสนามบินลูกค้ายังมาไม่ถึง เข้าห้องน้ำก่อนล่ะ เปลี่ยนชุดใหม่ทั้งหมดเลย ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ลูกค้ามาถึงประมาณ 2 ทุ่ม เอกสารเรียบร้อยแล้ว แจกกันไป โหลดกระเป๋า เป็นอันเรียบร้อย เสร็จ 3 ทุ่มพอดี มีเวลานั่งพักในห้องพักรับรองของการบินไทยตรวจดูเอกสาร ต่างๆ ห้าทุ่มกว่าไปที่ประตูขึ้นเครื่อง คุยกับลูกค้าหน่อย ชุดนี้มาจากสุราษฏธานี ไม่ค่อยได้เดินทางกันเท่าไหร่ ดูจากพลาสปอตร์ใหม่เอี่ยมอ่อง เที่ยวบินนี้ว่างพอสมควรเลยอันเนื่องมาจากสถานะการ์ณ การเมืองของเราเอง นั่งสบายข้าง ๆ ว่าง แบบนี้ชอบมาก ๆ เหยียดแข้งขาได้สบาย บินราว 8 ชั่วโมงครึ่ง
มีอาหารค่ำบริการ เราไม่พลาดตามเคย ได้ไวน์แดงไป 4 แก้ว อันนี้จากการเดินทางบ่อย ๆ เค้าจะเสริฟตามสเตป ไม่ได้ขอเพิ่มอะไร แต่ต้องคอยมองดี ๆ เพราะแอร์บางทีเดินเร็วมาก (คงจะพยายามข้าม ๆ ไปแหละ) ได้ยินเสียง รับไวน์เพิ่มไหมค่ะ แต่ตัวเดินเลยไป 2 แถวแล้ว บางคนไม่กล้าเรียก คงเกรงใจ (ไม่รู้จะเกรงไปทำไม หน้าที่ของเค้าอยู่แล้ว) และแล้วก้อหลับดี

6/9/08 ซิดนีย์
ถึงสนามบินคิงส์ฟอดร์สมิธ ซิดนีย์ ตอนเที่ยงวัน เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย 3 ชั่วโมง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองฉลุย เสบียงก้อผ่านหมดเทคนิคง่าย ๆ ต้องมีภาษาอังกฤษให้อ่านตรงส่วนผสมของอาหาร คราวนี้นำน้ำพริกแม่ประนอม (ลูกค้าบอกว่าเผ็ดมาก แล้วยังถามอีกนะว่าตกลงน้ำพริกหรือพริกป่น) มาม่าต้มยำกุ้ง แนะนำให้เป็นกุ้งทั้งหมดผ่านได้แน่นอน จากสนามบินเข้าเมือง 30 นาที เจอฝนตกตลอดเลย ไปถ่ายรูปที่ แมคแควรี่แชร์ จุดชมวิวริมอ่าวซิดนีย์ เห็นทั้งโอเปร่า และ สะพานฮเบอร์ ได้สวยที่สุด แต่ไม่ใช่วันนี้ ก้อฝนตกซะขนาดนั้น บางคนไม่ลงจากรถด้วยซ้ำ ดูสถานการณ์แล้ว หาที่ร่ม ๆดีกว่า ไปโอเปร่าแล้วกัน ไม่เปียกฝนด้วย ถ้าเดินเป็นนะ จะมีทางเดินชั้นใต้ดิน ให้ 1 ชั่วโมงที่นี่ สบาย ๆ มีเวลาจิบกาแฟ เข้าห้องน้ำห้องท่า 4 โมงเย็นล่องเรือชมอ่าวด้วยเรือกับตันคุก มีบริการชา กาแฟ น้ำเย็น ฟรีครับ โดยการนำตั๋วเรือไปแลก ปกติวิวสวยอยู่แล้ว ฝนตกเลยทำให้บรรยากาศกร่อย ๆ นิด ๆ ใช้เวลาล่อง 1.15 นาที ขึ้นลงที่เดิน ลงจากเรือขึ้นรถ ไปทานอาหารเย็นเลย เพราะลูกค้าดูหิวกันมาก ที่จริงรายการแบบนี้ควรเลี้ยงมื้อเที่ยงด้วยจะดีมาก ไปทานที่ร้านจีนชื่อ Grand china อยู่ตรงมาเก็ตซิตี้ ขึ้นบันไดเลื่อนไป 3 ชั้น อยู่ตรงซ้ายมือ อาหารดีมากจานใหญ่ ทานเสร็จให้ลูกค้าช้อปปิ้งในไชน่าทาวน์ มีร้าน
คนไทยอยู่ 2 ร้าน ชื่อ ไลฟ์สปริง กับ เชอรี่ ก้อซื้อกันพองาม จากนั้นเข้าโรงแรม City gate sebel ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่ เดินมาในเมืองได้สะดวกพอสมควร ห้องพักเห็นกำลังปรับปรุงอยู่ คราวหน้ามาพักน่าจะดูใหม่กว่านี้ เข้าห้องได้พักหน่อย ยัง ๆ ไม่จบง่าย ๆ ถ้ามาเที่ยวกับเรา (เปลี่ยนลุคก์นิดหนึ่งเมื่อก่อนขี้เกียจพาไป หลัง ๆ ทำบ่อย ๆ เริ่มชิน ) หัวหน้ากรุ๊ปให้พาไปให้ถึงออสเตรเลียเลย เราถามว่าไม่เหนื่อยกันเหรอ เพราะว่าคณะนี้มาจากสุราษฏ์ธานี
ก่อนมาก้อต้องบินมากรุงเทพถึงตอนเที่ยง ๆ ให้น้องพาไปเดินเล่นแถวเซ็นทรัล ค่ำ ๆ มาที่สุวรรณภูมิ ทั้งคณะ 52 ท่าน ใช้รถบัสคันเดียว 60 ที่นั่ง เวียนหัวตอนนับคนว่าครบหรือยัง ต้องนับครั้งละ 2 รอบ ไม่อยากให้มีคนตกรถ เดี๋ยวงานจะเข้า เอ้าเข้าเรื่องต่อ จัดไปตามต้องการ พอดีทำการบ้านมาดี แถวโรงแรมมีอยู่ที่หนึ่ง เดินไปได้ สัก 300 เมตร เป็นบ้านแบบตึกแถว ถ้าไม่รู้มาก่อนคงไม่กล้ากดกริ่งเรียกหรอก เข้าไปเค้าให้นั่งรอที่โซฟา สักพักก้อมีผู้สาวเดินมา 4 คน
มีฝรั่งผมทองคน น่ารักมาก มีผิวดำอีกสอง ลูกค้าก้อเกี่ยงกันนิดหนึ่ง ยังไม่มีใครเลือก สักครู่เข้ามาอีก 1 มีลูกค้า โอเค ก้อขึ้นห้องกันไป สนนราคา 30 นาที 180เหรียญออสเตรเลีย ไปคูณเป็นบาทเอาเอง ที่จริงถูกกว่านี้ก้อมี แต่ไปไกล อันนั้นราว ๆ 120 เสร็จกิจ มีคนบอกว่าไปหาอะไรดื่มกัน ได้บาร์แถวถนน พิช บรรยากาศดี เบียร์แก้วละ 4 เหรียญกว่า ๆ ราคาประมาณนี้ทุกที่ เห็นมีเด็กนักเรียนไทยมาเที่ยวกันเยอะเหมือนกัน น่าสงสารคนส่งเสียเนอะ ได้เข้าโรงแรมตอนเที่ยงคืนกว่า ๆ อาบน้ำ แล้วก้อนอน แต่นอนไม่ค่อยหลับ ฮีทเตอร์บ้าอะไรไม่รู้ ตั้งอุหณภูมิ ที่ 28 องศา แต่นอนหนาวโคตร

7/8/09 ซิดนีย์ - แคนเบอร์ร่า
ตื่นมาแบบง่วง ๆ ตอน หกโมงครื่ง จิบกาแฟ ลงไปตอน เจ็ดโมงครึ่ง นัดลูกค้าไว้ 8 โมง อาหารดูดี มีบางคนลงมาก่อนแล้ว ทักทายนิดหน่อยแล้วลุย 9 โมง กระเป๋าขึ้นเรียบร้อย เดินทางไป เคาล่าปาร์ค สวนสัตว์พื้นเมืองที่ดูที่สุดแล้ว ใช้เวลา 1 ชั่วโมงถึง ข้างในเริ่มจากถ่ายรูปกับ วอมเบท อายุ 18 ปีหนัก 34 กิโลกรัม ดูยังไม่ตื่นดี เหมือนเราเลย เห็นเจ้าหน้าที่เรียกไม่ตื่น มันนอนอยู่ในท่อเหล็กโต ๆ แล้วเค้าก้อเทมันออกมา น่าสงสาร แต่ทำไงได้ต้องทำงานเหมือนกันนิใช่ไหม เจ้าหน้าที่สวนสัตว์อุ้มเองแล้วให้นั่งข้าง ๆ ถ่ายรูป ลูปหลังได้ อย่าเล่นหัวเพราะมันจะกัดเอาได้ เสร็จแล้วพาไปถ่ายรูปกับหมีเคาล่า แล้วจิงโจ้มีโชว์ตัดขนแกะตอน 10.30 โชว์เสร็จทานอาหารเที่ยงเลย เพราะช่วงบ่ายเดินทางอีกไกล อาหารในนี้ตั้งเป็นบุปเฟ่ต์ บาร์ บี คิว มีสลัด ข้าว หมู เนื้อ ไก่ แกะ ปลา อร่อยดี ของหวานไอสครีม ชา กาแฟ ตอนทานอยู่มีป้าคนหนึ่ง อายุมากแล้วล่ะน่าจะเป็นแม่ของเจ้าของที่นี่ แกเดินมาพร้อมกับซองขาว ๆ เปิดดูข้างในเป็นรูปถ่ายป้าตอนสาว ๆ มาเที่ยวที่กรุงเทพ สักประมาณ 30 ปี ก่อน ดูในรูปรู้สึกกรุงเทพสมัยนั้น บริสุทธิ์จริง ๆ ทุกวันนี้ของดี ๆ หายหมด หรือไม่ก้อเปลี่ยนแปลง
ไป ผิดกับเมืองฝรั่งเค้าจะให้ความสำคัญกับของเก่า สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เที่ยงตรงออกจากสวนสัตว์ ไปอุทยานแห่งชาติบลูเมาเท่น นั่งรถอีก 1.30 ไปถึงจุดชมวิว หินสามพี่น้อง ตามตำนานเล่าขานของชนเผ่าอะบอริจิน ให้เวลาถ่ายรูป 20 นาที เล่นซะ 1 ชั่วโมง เล่นเอาเราชักจะปล่อยไม่ได้แล้ว จากนั้นไปนั่งรถรางที่ชันที่สุดในโลก สมัยก่อนใช้ลำเลียงถ่านหินจากในหุบเขาขึ้นมาข้างบน แจกตั๋วให้คนล่ะใบ โดยตั๋วต้องเสียบเข้าไปในเครื่องที่กั้นถึงจะเปิด ทั้งเข้าและออก
นั่งรถรางลงไป ใช้เวลาราว ๆ สักนาทีนิด ๆ ถึงในหุบเขา พาเดินเดินชมเหมือนถ่านหินเก่าที่เลิกขุดแล้ว และเส้นทางชมธรรมชาติ ที่นี่จะทำเป็นทางเดินอย่างดีไม่สามารถออกนอกเส้นทางได้ เดินไป 300 เมตร ก้อถึงกระเช้าที่จะนั่งกลับขึ้นไปข้างบน ลำละ 70-80 คนได้ ตอนออกต้องใช้ตั๋วอีกรอบ บ่าย 3 ครึ่งเดินทางเข้ากรุงแคนเบอร์ร่า ช่วงนี้นั่งรถนานมาก 4 ชั่วโมงได้ แวะจอดเข้าห้องน้ำ 1 จอด บนทางหลวง ไปถึง เกือบ 2 ทุ่ม ทานข้าวร้าน 83 ข้างล่างเป็นคลับ (ที่นี่คลับมักจะเป็นที่ ๆมีตู้สลอต เล่นการพนัน แต่ไม่มีแบบลงโต๊ะ) อาหารเป็นบุปเฟ่ มีอาหารทะเลด้วย พวกกุ้ง ปลาหมึก หอย แต่ไม่ใช่แบบตัวใหญ่ ๆ นะ มีลูกค้าเกิดตรงกับวันนี้ เซอร์ไพ้ร์ ด้วยการให้เค้กวันเกิด ที่โทรสั่งให้ร้านอาหารช่วยซื้อให้ ก้อมีความสุขกันทั่วหน้า ทานเสร็จ กลับโรงแรม พักที่ Rydges lakeside โรงแรมดี แต่ตอนขึ้นลิตฟ์ต้องการ์ดห้องเสียบถึงจะขึ้นได้ ตอนลงไม่ต้อง เมืองนี้เงียบมาก ๆ กลางคืนที่เที่ยวแทบไม่มีเลย มีที่เดียวคือคราวน์คาสิโน บางคนก้อเล่น บางคนนั่งดื่ม ส่วนเราจิบไวน์ดีกว่า ดีที่ไม่มีแบบเครื่องหยอดเหรียญ เสียเงินน้อยหน่อย ปกติจะชอบหยอดมาก ๆ แต่ไม่งมงายนะ กลับถึงห้อง
เที่ยงคืนพอดี ไม่อาบน้ำแล้วนอนดีกว่า ใช้แบบฝรั่ง 3-4 วันอาบที

8/09/08 แคนเบอร์ร่า - ซิดนีย์
วันนี้โปรแกรมแน่นอยู่เหมือนกัน เพราะคณะนัดพบท่านทูตที่สถานทูตไทยไว้ตอน 16.30 น. เช้านั่งรถทัวร์ย่านสถานทูต เมืองนี้ผังเมืองดีมากแยกสถานที่ราชการเละที่พักอาศัย ป็นโซน ๆ ไป จอดถ่ายรูปหน้าสถานทูตไทย อันที่จริงประวิงเวลาหน่อย เพราะอาคารรัฐสภาเปิดตอน 9 โมงเช้า แต่ล่ะที่อยู่ใกล้ ๆ กัน นั่งรถ ห้านาที สิบนาทีถึง รัฐสภาที่นี่เปิดให้เข้าไปชมข้างในได้ รถจอดชั้นใต้ดิน เดินขึ้นมา 1 ชั้น ทางเข้าผ่านเอ็กซเรย์ รักษาความปลอดภัย ในห้องโถง เป็น
เสาหินอ่อน ลายแบบต้นยูคาลิป ไม่รู้ไปหามาจากใหนเนี่ย แล้วก้อพาไปชมห้องประชุมสภา และวุฒิสมาชิก ให้เวลาที่นี่ 1 ชั่วโมง แล้วไปอนุสรณ์สถานสงครามซึ่งทำเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย มีรายชื่อทหารที่เสียชีวิตในสงครามที่ผ่าน ๆ มา ตรงชื่อเนี่ย ไปดูใกล้จะมีดอกปอปปี้เสียบไว้ด้วย คงเป็นญาติหรือเพื่อนให้ไว้แหละมีดวงไฟที่ไม่มีวันดับ และในโดมมีที่ฝังศพของทหารนิรนาม มีเสา 4 ต้น แทนความหมาย อากาศ น้ำ ดิน โลก รอบ ๆ และชั้นใต้ดิน มีพิพิธภัณฑ์ พวกเครื่องบิน รถ อาวุธต่าง ๆ น่าดู แล้วไปทานข้าวร้านจีน ตอนบ่ายพาไป aus exibition center เล่าเรื่องราวการสร้างกรุงแคนเบอร์ร่า มีแผนภูมิจำลองของเมืองให้ดูด้วย ติดกันตรงทะเลสาบมีน้ำพุกับตันคุก สูง 110 เมตร (ถ้าจำไม่ผิดนะ) แล้วให้ช้อปปิ้งที่ แคนเบอร์ร่าสแควร์ มีห้างเดวิดโจน เจ้าของครีมยี่ห้อดัง ตอนนี้ไปดูครีมเปลี่ยนรูปแบบของกระปุกใหม่หมดเลย น้ำหนักเมือก่อน 500 กรัม เดี๋ยวนี้ 425 กรัม แถมราคายังขึ้นมาอีก เป็น 15 เหรียญ กว่า ๆ ของที่นี่ก้อไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่ ไม่ได้ของอะไรเลย 4 โมงเดินทางไปสถานทูตไทย ไปนั่งในห้องประชุมกันเค้าด้วย ท่านก้อคุยดี คุนสนุกไปเรื่อย ๆ จากที่จองร้านอาหารไว้ห้าโมงครึ่ง ต้องรีบเพราะต้องกลับไปนอนซิดนีย์ ห้าโมงครึ่งก้อแล้ว หกโมงก้อแล้ว ไม่มีท่าว่าจะจบ จะซักถามอะไรมากมาย กว่าจะจบเกีอบหกโมงครึ่ง ร้านก้อโทรมาเร่งเราอีก บอกว่าอาหารขึ้นโต๊ะแล้วนะ ไปถึงยังไม่เห็นมีอะไรบนโต๊ะเลย มื้อนี้อาหารไทยด้วย ว่าไม่ได้เพราะเราเปลี่ยนเวลามาหลายรอบ ตั้งแต่ตอนว่าจะเข้าซิดนีย์ให้เร็ว ทานก่อนไปพบทูตได้ไหม จะบ้าตายกินข้าวเย็นตอนบ่ายสามครึ่งเนี่ยนะ ตอนหลังเปลี่ยนอีกไม่เอาจะกินตามเดิม ก้อต้องโทรไปขอโทษ ขอเป็น 5 โมงครึ่ง ไปช้าอีกต่างหาก ดีนะเป็นวันธรรมดา ถ้าเป็นศุกร์ เสาร์ ลูกค้าเยอะจะมีปัญหาแน่ ๆ วันนี้ไปถึงซิดนีย์ 4 ทุ่มครึ่ง ถือว่าเร็ว พักโรงแรมเดิม
แต่ยังไม่ได้พักหรอก พาไปคิงส์ครอสย่านเริงรมย์เหมือนพัฒพงศ์ บ้านเราแต่เล็กกว่า เข้าไปดูโชว์ จ่ายไปคนละ 10 เหรียญ ไม่รวมเครื่องดื่ม โชว์ก้องั้น ๆออกมาหาอะไรดื่มรอ คือนี้ถึงห้องเที่ยงคืนครึ่ง เฮ้อง่วง นอนดีกว่า

9/09/08 ซิดนี่ย์ - กรุงเทพ
มีรายการเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ดาลิ่งฮาเบอร์ วิธีเดินชมที่นี่ ให้เดินตามลูกศรสีขาวที่อยู่ตรงพื้น จะมีจุดที่แยกออกไป ก็คือแมวน้ำ กับ ปลาฉลาม เสร็จแล้วไปไชน่าทาวน์ มีเวลาให้ซื้อของเพิ่มเติม ทานข้าวเที่ยง เที่ยงครึ่งเดินทางไปสนามบิน การบินไทยเช็คอิน เคาร์เตอร์ K สุดท้ายของอาคารเลย
ถ้ามีภาษีต้องทำ (เมื่อซื้อถึง 300 เหรียญ)ลงไปชั้นล่าง เช็คอินแบบเดี่ยว สนามบินนี้ไม่มีที่สูบบุหรี่ด้านใน สร้างความอึดอัดให้คนในคณะบางคนพอควรเลยเครื่องว่างพอสมควร เราได้นั่งแถวท้ายสุด คนเดียวสามเบาะ มีความสุขที่สุดเวลานั่งเครื่องแล้วเจอแบบนี้ หลังอาหารก้อหลับยาวเลย มาถึงกรุงเทพ สี่ทุ่มกว่าส่งลูกค้าที่โรงแรมมารวย นั่งคุยแป๊ปหนึ่ง ถึงบ้านตีสองกว่า เป็นทริปที่ลูกทัวร์น่ารักอีกทริป แม้จะถามบ่อยแบบว่า ไปใหนต่อ ทั้ง ๆ ที่ประกาศบนรถแล้ว

1 ความคิดเห็น:

ooOhhoo กล่าวว่า...

ปีนี้เรางดเดินทางออกนอกประเทศ
อาศัยอ่านตัวเองเขียนนี่ก้อดีเนอะ
เหมือนได้ไปเองเลยอ่ะ