วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โครเอเชีย ประเทศเล็ก ๆ กับความงามที่หลากหลาย

แม้จะเป็นประเทศเกิดใหม่เมื่อปี 1991 แต่ก็ยังต้องรบอีก 4 ปี กว่าจะได้อิสรภาพแยกออกจากยูโกสลาเวียได้ หลาย ๆ เมืองในประเทศนี้ก็ได้รับความเสียหายจากสงครามมากมาย หลังจากสงบแล้วจึงมีการบูรณะซ่อมแซมกันใหม่ แต่ก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกหลาย ๆ แห่งด้วยกัน

  บินด้วยสายการบินเตอร์กีส ต่อเครื่องที่อิสตันบูล ไปลงที่สนามบินมาร์โคโปโล เวนิส อิตาลี แต่ไม่ได้เที่ยวเวนิสหรอก ไม่ได้อยู่ในรายการ อันที่จริงนอนสักคืนก็น่าจะดี ใหน ๆ ก็มาฝั่งทะเลเอเดียติกแล้ว เรานั่งรถเข้าไปที่เมืองหลวงของประเทศสโลเวเนีย ใช้เวลาอีก 3 ชั่งโมงเศษ ตอนเข้าพรมแดนประเทศนี้ก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเพราะอยู่ใน อียู ด้วยกัน ถึงเมืองหลวงลุบเบลียน่า Ljubljana ตอน 4 โมงกว่า ๆ แล้ว
ท้องฟ้าเริ่มจะมืด หน้าหนาวก็งี้แหละ พระอาทิตย์ที่นี่ทำงานน้อย ทำงานก็สาย แถมเลิกเร็วอีกต่างหาก
รถจอดส่งใกล้ ๆ เมืองเก่า เดินสัก 200 เมตรเราก็ไปถึงจัตุรัส Preseren มีอนุเสาวรีย์ ชื่อเดียวกันกับจัตุรัส
เป็นนักกวีชื่อดังของประเทศนี้เมื่อตอนต้นศตวรรษนี้เอง ติด ๆ กันมีแม่น้ำสายเล็กชื่อ Ljubljanica มีสะพาน 3 สะพานทอดข้ามไปฝั่งเมืองเก่า สะพาน 3 แห่งอยู่เกือบจะติดกันเลย เรียกว่า Triple Bridge อันกลางเริ่มสร้าง ปี 1842 เมื่อความเจริญมาเยือน สะพานเดิมก็ชักจะแออัดเกินไป ปี 1931 Joze Plecnik สถาปนิกจึงได้รับมอบหมายงานให้สร้างสะพานขึ้นอีก 2 สะพานขนาบข้างกันไป ใต้สะพานมีห้องน้าสาธารณะ ชายด้านหนึ่ง หญิงอีกด้าน หลังจากถ่ายรูปกันแล้ว เดินข้ามสะพานเข้าไปยังฝั่งเมืองเก่า มีเนินเขาเล็ก ๆ อยู่อีกฝากหนึ่ง อันเป็นจุดกำเนิดของเมืองก็ว่าได้ มีปราสาทชื่อเดียวกับเมืองอยู่บนเนินเขาลูกที่ว่านี้ ในเขตเมืองเก่านี้มีตึกสวย ๆ ด้วยศิลปะสไตล์บารอค จากสะพานเดินตรงไปสุดก็จะเห็น ศาลาว่าการเมือง Town Hall เลี้ยวซ้ายจะเป็นโบสถ์เซนต์นิโคลัส เข้าไปชมได้สวยดี ฟรีอีกต่างหาก
ด้านหลังโบสถ์จะเป็นตลาดกลางแจ้ง เนื่องจากเย็นแล้ว จึงไม่เห็นอะไรมาก เรานั่งรถรางขึ้นไปบนเนินเขา อันเป็นที่ตั้งของปราสาทลุปเบลียน่า แต่ไม่ได้เข้าไปชมข้างในหรอก ปิดแล้ว ตรงสถานีรถรางข้างบนมีห้องน้ำฟรี ยังมีลิตฟ์ขึ้นไปถึงบนกำแพงปราสาทได้เลย สำหรับผู้ที่กำลังวังชาน้อย เป็นจุดชมวิวเมืองหลวงที่ดีที่สุด แต่มืดแล้วไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไหร่ ลงจากปราสาทพาไปถ่ายรูปกับสะพานมังกร
Dragon Bridge ตรงหัวสะพานมีมังกรอยู่ทั้ง 2 ด้าน  มังกรเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ เป็นอันเดินเที่ยว
ครบตามรายการ กะว่าจะให้เวลาเดินเล่นกันสักชั่วโมง เผื่อใครอยากจะซื้อของเพิ่มเติม แต่มีบ้านหนึ่ง
บอกว่า เหนื่อย หิว ไปกินข้าวแล้วกลับโรงแรมเลย ด้วยน้ำเสียงที่คนฟังแล้วรู้สึกแย่เหมือนกัน แถมตอนมานั่งชั้นธุรกิจด้วย ส่วนท่านที่นั่งชั้นธรรมดาไม่เห็นจะเหนื่อยอะไรมากมาย หลายคนคงเกรงใจ เลยตกลงกลับโรงแรมเลย มาทั่งทีไม่มีความอยากสัมผัสอะไรกันบ้างเลยหรือ นั่งรถไปอีก 1 ชั่วโมงไปถึง
ที่ทะเลสาบเบรด Bled Lake อันที่พักของเราซึ่่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Park Bled Hotel ห้องดี ทุกห้องได้วิว
ทะเลสาบหมด  โรงแรมนี้มีชื่อเรื่องขนมที่เรียกว่า Cream Cakes ถือเป็นต้นตำหรับเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่ปี 1953 จนถึงปี 2009 ขายขนมนี้ไปแล้วมากกว่า 10 ล้านชิ้น แต่เราไม่ได้ชิมเลย ดึกเกิน จากโรงแรมเดินไปร้านอาหารจีน 200 เมตร ชื่อร้าน Peking ไม่มีแขกคนอื่นเลยมีเราแค่คณะเดียว ระหว่างอาหารเราเดินกลับมาโรงแรมเช็คอินน์ก่อน จัดกระเป๋าส่งขึ้นห้อง แล้วกลับมาดูที่ร้านอาหาร กินไม่ทันแล้วใส่กล่องกลับไปกินโรงแรมดีกว่า   บอกคณะให้ไปชมวิวริมทะเลสาบหลังโรงแรม
เห็นปราสาทเบรดอีกด้านของทะเลสาบ มีคาสิโนเล็ก ๆ อยู่ด้านหลังโรงแรม เบรดเป็นเมืองเล็ก ๆ เมือง
พักตากอากาศ ที่นี่ช่วงฤดูร้อนคนจะเยอะมาก เห็นแนวเทือกเขาเอลป์อยู่ไม่ไกล ขึ้นเหนือไปอีกไม่กี่สิบกิโลจะไปถึงพรมแดนติดออสเตรียได้

ในเมืองเก่าจะเห็นปราสาทลุปเบีลยน่าอยู่บนเนินเขา

วิวเมืองหลวงจากกำแพงปราสาท

                                                                 สะพานมังกร

               รูปน้อยไปหน่อยกะว่าช่วงให้เวลาอิสระจะเดินถ่ายซักหน่อย ผิดแผนเลย

วันนี้ไปเที่ยวกันต่อ ออกจากโรงแรมตอน 8 โมงเช้า ยังมืดอยู่เลย ครึ่งวันนี้ยังอยู่ประเทศสโลเวเนีย
นั่งรถไปราว ๆ ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปเที่ยวชมถ้ำโพสทอยน่า Postojna Caverns เป็นถ้ำที่สวยที่สุดในยุโรป
และมีนักท่องเที่ยวมาชมถ้ำนี้มากที่สุด หมายถึงประเภทแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นถ้ำน่ะ มีความยาวถึง 20
กิโลเมตร แต่ส่วนที่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยาวราวๆ 5.7 กม.หลังจากซื้อตั๋ว เข้าห้องน้ำห้องท่ากันเรียบร้อย  เราก็นั่งรถไฟแบบคล้าย ๆ รถลากแหละแต่ใช้ไฟฟ้าในการขับ นั่งเข้าไปเป็นกิโลเหมือนกัน สุดสาย
ก็จะมีไกด์ถ้ำ ใครถนัดภาษาใหนก็เดินไปหาป้ายภาษานั่น ไทยไม่มีก็ต้องภาษาอังกฤษแหละ เดินไม่
เท่าไหร่ 1 กม.เอง ในถ้ำซึ่งอยู่ใต้ดินลึกลงไป 50 เมตร อุณหภูมิ จะอยู่ที่ 8-10 องศาตลอดทั้งปี
              แต่อากาศค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย คงจะเพราะมีอ๊อกซิเจนน้อย แม้อากาศจะเย็นก็ตามที
ไกด์พาเดินชมไปตามทางที่จัดไว้ ขึ้น ๆ ลง ๆ ชมหินงอกหินย้อย ไม่มีไฟสี ๆ ประดับ และไม่บรรยายแบบไกด์ถ้ำที่จีนอันนี้เหมือนรูปนั่น อะไรงี้ สวยดีน่ะ ทำดี การจัดการดี แต่คณะเราถ่ายรูปกันเก่ง ทั้ง ๆ ที่ห้ามถ่ายรูปในนี้ก็มีแอบ ๆ ถ่าย ไปถึงแบบประเจิดประเจ้อเลย ประมาณอยากถ่ายมีอะไรเปล่า จริง ๆ ไกด์ก็ไม่ได้ว่าเท่าไหร่แค่ปราม ๆ เพราะคนชมถ้ำแต่ล่ะรอบเยอะอยู่ ไม่งั้นการจราจรจะติดขัด นอกจากหินแล้วที่นี่จะมีปลาชนิดหนึ่งเรียกว่า Human Fish เป็นปลาตัวเล็กสีออกขาว ไม่มีตา อยู่กับความมืดมาตลอดเลยตาไม่ได้ใช้จนหายไปเองตามวิวัฒนาการ จะเห็นได้ในตู้ใกล้ๆ จะจบทัวร์ ดูเสร็จ ก็นั่งรถไฟกลับมายังปากถ้ำที่เดิน เบ็ดเสร็จใช้เวลา 1.30 นาที

                                                     หน้าตาของรถไฟ กับเด็ก ๆ มาทัศนศึกษา
ส่วนหินงอกหินย้อย ถ่ายมาแต่ไม่สวย อีกอย่างก็เหมือน ๆ ของบ้านเรา เพียงแต่ที่นี่บริสุทธิ์กว่าเยอะ
เที่ยงพอดี เรานั่งรถไปสัก 5 นาที ไปทานอาหารเที่ยงแบบฝรั่ง รสชาดพอได้ บ่ายนี้เดินทางไกลเพื่อ
ไปพักใกล้ ๆ กับอุทยานแห่งชาติพริตวิเซ่ Plitvice 200 กม.