วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทัวร์บอลข่าน เซอร์เบีย บอสเนีย มอนเตเนโกร



                    คณะบินออกจากกรุงเทพด้วยสายการบิน TK ต่อเครื่องที่อิสตัลบูลไปกรุงเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย เราไปถึง 08.25 น. เวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง ในช่วงฤดูร้อน
กลุ่มประเทศบอลข่านใช้เวลาเดียวกับยุโรปตะวันตก สนามบินเบลเกรด หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า
Nikola Tesla ตั้งชื่อตามนักวิทยาศาสตร์ ยุคเดียวกับ โทมัส เอดิสัน เป็นชาวเซิร์ป แต่ย้าย
ไปอยู่ที่อเมริกา เป็นผู้ค้นพบการแสไฟฟ้าสลับและประดิษฐ์อื่นๆ

                   สนามบินที่นี่เล็กๆ ไม่ซับซ้อนอะไร เดินตามป้ายไปจนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองแต่เนื่องจากวีซ่าออกมาแผ่นเดียวแบบกรุ๊ป ตอนเข้าจึงต้องให้อยู่ในแถวเดียวกัน เรียงตามลำดับชื่อในวีซ่า เรานำเข้าไปก่อน เจ้าหน้าที่ถามข้อมูลนิดหน่อย มาทำอะไร อยู่กี่วัน ไปใหนบ้าง 
                   หลังจากรับกระเป๋าแล้ว รถเข็นฟรี ทุกอย่างเรียบร้อย ออกมาด้านนอก ให้รวมกันก่อน
ส่วนเราออกมาดูว่ารถทัวร์มายัง หาทั่วลานก้อไม่เจอ ยังไงกันแน่ เลยเดินขี้นไปชั้นสอง เห็นรถทัวร์
จอดอยู่คัน ต้องใช่คันนี้แน่ เข้าไปทำความรู้จักสักหน่อย ทำงานกันอีกหลายวัน คนขับบอกว่า ชั้นขาเข้ารถบัสใหญ่ลงมาไม่ได้ เราจึงต้องขึ้นไปหารถ แต่มีรถเข็นด้วยก้อลำบากหน่อย ลิตฟ์มีตัวเดียวแอบอยู่มุมๆด้านซ้ายของร้านกาแฟ แถมประตูลิตฟ์เปิดได้ทั้งสองด้าน ฉะนั้นต้องระวังเซ็นเซอร์ทั้งสองฝั่ง และประตูลิตฟ์ต้องใช้มือเปิดปิดประตูเอง ขึ้นไปชั้นเดียวออกจากลิตฟ์ไปเลี้ยวขวา ออกประตูสุดท้ายจะเห็นรถจอดรออยู่ คุยกับคนขับรถแล้ว ไม่รู้เรื่องกันเลย ไม่ได้ภาษาอังกฤษ นึกในใจงานช้างแล้วสิ แล้วงี้จะรู้เรื่องยังไงเนี่ย ปหัวแน่

                  รถเข้าเมืองเบลเกรด แวะรับไกด์ระหว่างทาง เราก้อแปลไป บอกไกด์ว่าพูดไปยาวๆ แล้วค่อยแปลทีเดียว แปลทีละคำสองคำดูวุ่นวาย ไม่ได้ใจความ ส่วนใหญก้อคุยเรื่องบ้านเมือง ทีมาที่ไป รถข้ามสะพานแม่น้ำซาวา จากเมืองใหม่ไปฝั่งเก่า สภาพบ้านเมือง ตึรามบ้านช่อง ปลูกกันแบบธรรมดา สมัยใหม่ ไม่ค่อยจะมีศิลปะแบบยุโรปให้เห็นสักเท่าไหร่ วิ่งมาสักกครู่ รถจอดหน้ารัฐสภา
ไกด์เล่าว่าชาวเซอร์เบีย มาชุมนุมที่นี่เกือบห้าแสนคนเพื่อขับไล่ประธานาธิบดี สโลโบดาน มิโลเชวิซ ให้ลงจากตำแหน่ง ปี 2000  จากนั้นรถแล่นผ่านตึกกระทรวงการต่างประเทศ กรมตำรวจ ซึ่งถูกนาโต้ทิ้งระเบิด เมื่องปี 1999 เพื่อให้หยุดรุกรานโคโซโว ปัจจุบันยังคงไว้ในสภาพที่ถูกระเบิด พังไปแถบหนึ่งเป็นอนุสรณ์ แด่ลูกหลาน หรือประจานตัวเองก้อไม่รู้
                  เราออกไปชานเมืองเพื่อไปชมสุสานของ ติโต้ รถจอดแล้วเดินขึ้นเนินไปหน่อย ผ่านรูปปั้นของติโต้ ไกด์หยุดและเล่าเรื่องประวัติของติโต้ ประธานาธิบดีแห่งยูโกสลาเวีย จากนั้นเข้าไปในอาคารขวมือบนเนิน House of Flowers อดีตเป็นสถานที่ที่ติโต้ชอบมาก เค้าใช้เวลาช่วงสุดท้ายในสวนแห่งนี้  ปัจจุบันเป็นที่พักของติโต้ ชั่วนิรันดร หลุมศพของติโต้ สร้างขึ้นมาแบบธรรมาดา เรียบๆ ซึ่งท่านได้สั่งไว้ก่อนเสียชีวิต ด้านหนึ่งของพนังจะเห็นรูป ของผู้นำหลายๆประเทศที่มาประชุมที่เบลเกรด ในปี 1961 ประเทศที่สามที่ไม่ฝัไฝ่ฝ่ายได   ด้านตรงข้ามจะเป็นห้องเล็กๆ แสดงเกี่ยวกับคบเพลิง ที่ประชาชนชาวยูโก ส่งมาอวยพรในวันคล้ายวันเกิดทุกๆปี ด้วยการวิ่งส่งต่อๆกันมา ในคบเพลิงจะมีคำอวยพรอยู่ข้างใน มีเยอะมาก ไปจนถึงอันสุดท้ายที่ได้รับ เราออกจากอาคาร ขึ้นเนินไปอีกหน่อยจะเป็นห้องนิทรรศการ เกี่ยวกับของที่ระลึกที่ได้รับจากนานาประเทศและในกลุ่มยูโกด้วยกัน มีทั้งชุดท้องถิ่น เครื่องดนตรี มีด ดาบ เป็นต้น ทางออกอาคารนี้มีห้องน้ำแค่ห้องเดียว ถ้าให้เข้าคงใช้เวลาโขอยู่กว่าจะเข้า กันหมด แนะนำให้ไปเข้าที่หน้าโบสถ์เซ็นซาวาจะสะดวกกว่า

เรียบง่ายไม่มีการประดับประดา หรือใส่เครื่องหมายยศศักดิ์ใดๆทั้งสิ้น ตามที่ท่านได้สั่งไว้








 ภาพการประชุมกลุ่มประเทศที่สาม ที่ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายได

คบที่ใช้ส่งคำอวยพรในวันคล้ายวันเกิด จากประเทศในกลุ่มยูโกสลาเวีย

ทางเดินสู่ House of Flower อาคารที่เห็นด้านขวามือ


รูปหล่อของนายพลติโต้



                    อากาศช่วงหน้าร้อนของที่นี่ไม่แตกต่างจากเมืองไทยเลยอุณหภูมิกลางวัน 30-36 องศา
เราไปเที่ยวกันต่อที่โบสถ์เซ็นต์วาซา แบบออร์โธด็อกซ์ เป็นโบสถ์ใหม่ ยังสร้างไม่เสร็จเลย น่าจะอีกหลายปี รถจอดด้านหน้าโบสถ์ มีห้องน้ำ ตรงทางก่อนเดินไปที่โบสถ์ฟรี ห้องน้ำฟรีทุกที่ ในปั๊มก้อเหมือนกันฟรี มีเห็นที่เสียตังค์ตรงที่จอรถโบสถ์ฟรานซิสกัน เมืองโมสตาร์ ประตูทางเข้าต้องอ้อมไปทางซ้าย เข้าประตูโบสถ์แล้วสังเกตุทางซ้ายจะมีทางเดินเข้าไป จะเป็นส่วนที่ใช้ทำพิธีได้เลย แม้ส่วนหลักจะยังไม่เสร็จก้อตาม






 โบสถ์สร้างใหญ่โตมาก แต่เนื่องจากขาดงบประมาณ จึงต้องรอจากเงินบริจาค

การเข้าโบสถ์แบบออร์ด็อกซ์ ทำไม้กางเขนหน้าประตูโบสถ์ เข้าไปข้างในจะมีรูปไอคอน ทำไม้กางเขน แตะหรือจูบที่ไอคอน
ไอคอนจะต้องเป็นรูปของผู้ที่โบสถ์สร้างอุทิศให้ใคร อาจจะเป็นพระแม่ นักบุญ ก้อจะเป็นรูปของคนนั้น เวลามีพิธีมิสซา ชายยืนฝั่งขวา หญิงซ้าย ด้านข้างอาจมีเก้าอี้สำหรับคนสูงอายุ พิการนั่ง จะไม่มีเก้าอี้นั่งเลย ยืนทำพิธี  มีร้องเพลงในโบสถ์แต่จะไม่ใช้ออแกน หรือเครื่องดนตรีใดๆ สมัยก่อนผู้หญิงจะมีผ้าคลุมศรีษะ มาในปัจจุบันจะไม่ค่อยคลุม  ส่วนเรื่องการจุดเทียน หากมีเชิงเทียนสองชั้น จุดชั้นบนขอพรให้คนที่ยังอยู่ ชั้นล่างคนที่ล่วงไปแล้ว

กลับเข้าไปกลางเมืองรถจอดส่งที่ถนน เดินเข้าเที่ยวป้อม น่าจะราว ๆ 6-700 เมตร จึงจะถึงจุดชมวิว ตอนกลับเดินออกทางที่ไปเชื่อมกับถนนคนเดิน มีร้านค้าแบบรถเข็นอยู่สัก 7-8 ร้าน เป็นพวกของที่ระลึก เราเดินเข้าสู่ถนนคนเดิน มีร้านค้าสองฝากฝั่ง แต่แบรน์ดังๆ 
ไม่มี เห็นแต่บอลลี่ ลาครอส ซาร่า  ทานอาหารกลางวันที่ร้านปักกิ่ง รสชาติไม่อร่อยแม้จะเป็นร้านจีนร้านแรก เมื่อสามสิบปีก่อน อาหารมี หมู เป็ไก่ ออกมาหน้าตาเหมือนกันหมดด้วยน้ำซอสแบบเดียวกันเลย เราก้อติไป บอกพ่อครัวไม่สร้างสรรเอาซะเลย คิดว่าทัวร์กินยังไงก้อได้ หรือเปล่า จากนั้นปล่อยให้ชอปปิ้งอิสระ เราเลยไปเดินสำรวจตลาดสด รับปากว่าจะพาไปซื้อผลไม้ตลาดใหญ่ทีเดียว มีทั้งของสด ผัก ผลไม้  พลัม แพร์ แตงโม  จะเยอะหน่อย  ตอนแรกคิดว่าแตงโมไม่น่าจะปลูกที่นี่ แต่มีให้เห็น
ทุกแห่งตามซุปเปอร์ ข้างถนน เลยคิดว่าปลูกในประเทศนี้แหละ 
            หลังจากกลับขึ้นรถแล้ว บอกคนขับไปตลาด มันพูดไรก้อไม่รู้ ได้ยินว่าโปรแกรม เลยบอกว่า 
ซิตี้ทัวร์ไปตลาดไม่ได้หรือไง มันบอกให้โทรหาไกด์ ตามการคาดเดา ของเรา ไม่โทรถ้าทำงานแล้วต้องโทรหาไกด์ท้องถิ่น แล้วถ้าไปเมืองต่อๆไป จะทำไง ตอนแรกจะเปลี่ยนคนขับเลย มารู้ตอนหลังว่ามันไปไม่ถูก แล้วก้อไปไม่ถูกตลอด ดีที่จีพีเอสเราช่วยด้เยอะ ของคนขับก้อมีแต่แผนที่ไม่อัเดท ถนนบางเส้นเลยไม่มีในแผนที่ เลยต้องกลับโรงแรมไปพักผ่อนก่อน โรงแรมชื่อว่า Zira ห้องดี ติดช้อปปิ้งมอลล์ ไม่ใหญ่มาก แต่ชั้นใต้ดินมีซุปเปอร์ ตอนเย็นไปทานข้าวย่านโบฮีเมีย มีดนตรีเล่นด้วย แนวๆคลาสสิค เป็นย่านทานอาหารแบบบรรยากาศคลาสสิค มีหลายร้านอยู่ติดกัน

ระหว่างทางเดินไปป้อมเบลเกรด ท่ามกลางแดดร้อนระอุอย่างมาก


 อาวุธสงครามเหล่านี้เป็นส่วนของ War Muzium 

ประตูเข้าสู่ป้อมปราการ

เดินไปสุดทางจะเป็นจุดชมวิว และจะเห็นส่วนที่แม่น้ำซาวา ด้านซ้ายมือ ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำดานูป
โดยมีเกาะ Veliko Ratno Ostrvo ที่เห็นต้นไม้สีเขียวเยอะๆ เป็นเกาะกลางแม่น้ำดานูป

เส้นทางเดินจะเป็นวงกลม ออกมาทางสวนจะมีร้านขายของที่ระลึก ตรงไปก็จะเข้าสูถนนคนเดิน

เมืองโนวิซาด Novisad

           วันนี้ไปเที่ยวเมืองโนวิซาด ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองเบลเกรด ไกด์คนเดิม ลูบา มารับที่โรงแรมแต่เช้า วิ่งผ่านเมืองใหม่แล้วไปขึ้นทางด่วน ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเป็นทุ่งข้าวโพด ข้าวสาลี เขตนี้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศเลย มีพื้นที่ราบแพนโนเนียนอันกว้างใหญ่ วิ่งข้ามสะพานแม่น้ำโดนาฟ ดานูป ก่อนเข้าเมือง แวะปั๊มให้เข้าห้องน้ำก่อน เบ็ดเสร็จใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษมาเราก็มาถึงเมือง เริ่มจากถ่ายรูปกับป้อมเปโตรวราดินเป็นฉากหลัง ริมแม่น้ำดานูป มีงานปติมากรรม ผู้ใหญและเด็ก สร้างเป็นที่ระลึกเมื่อคราวนาซีบุกถึงที่นี่ได้ฆ่าชาวยิวแล้วโยนทิ้งลงแม่น้ำรวมชาวบ้านและเด็ก ส่วนมากเป็นยิวรวมแล้ว 1500 คน ริมแม่น้ำยังมีป้ายจารึกชื่อคนที่เสียชีวิต 

 ป้อมที่เห็นบนเนินคือ เปโตรวราดิน

ปฏิมากรรมริมแม่น้ำดานูป ระลึกคนที่เสียชีวิตเมืองคราวนาซีบุกมาที่นี่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

              จากนั้นเรานั่งรถข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อขึ้นไปชมวิวบนป้อม รถบัสจอดด้านนอกกำแพง เข้าไปไม่ได้ ต้องเดินสักครึ่งกิโล เพื่อไปชมวิวตรงหอนาฬิกา เห็นวิวแม่น้ำดานูปอันสวยงาม เมืองวิสิกราด
และเมืองเก่าแรกเริ่มตั้งอยู่เชิงเขาของป้อมฝั่งเดียวกัน แต่ความเจริญอยู่ฝั่งตรงข้ามเสียมากกว่า  ใกล้ๆ
กันเป็นสถานที่จัดแสดงงานดนตรีฤดูร้อน ที่เรียกว่า EXIT คอร็อคต่างมาจากทุกสารทิศเพื่อร่วมงานนี้






                 จากนั้นไปเดินเล่นในเมืองโนวิซาด รถจอดส่งหน้าซิตี้เธียร์เตอร์
จุดเริ่มต้นของถนนคนเดิน ผ่านแม็คโดนัล สำหรับท่านที่อยากเข้าห้องน้ำ จากแม็คก้อเป็นจัตุรัส มีทาวน์ฮอลล์ มหาวิหาร Church of Vergin's name อนุเสาวรีย์นายกเทศมนตรี ผู้ที่สร้างเมืองให้สวยงามอย่างทุกวันนี้ รวมถึงอาคารรอบๆ ทั้งหมด
                 โนวิซาดเป็นเมืองที่อยู่ในแคว้นวอยโวดิน่า เคยขึ้นอยู่กับจักรวรรดิออสเตรีย ฮังการีมานาน ตึกรามบ้านช่องจึงค่อนข้างดูเป็นยุโรปหน่อย 


อนุเสาวรีย์ของอดีตนายกเทศมนตรี และศาลาว่าการเมือง
มหาวิหาร

ย่านช้อปปิ้งในเมืองเก่า

 Church of the great martyr St. George ออร์โธดอกซ์



                 ออกไปนอกเมืองขึ้นไปทางเหนือไม่ถึงสิบกิโล ถึงร้านอาหาร 137 เป็นบรรยากาศแบบฟาร์มเลี้ยงม้า หรือฝึกขี่ม้า บรรยากาศร่มรื่นอาหารอร่อย โดยเฉพาะไก่พันด้วยเบคอน นำไปอบ ข้างใน
มีมอสเซลลารีชีส อร่อยมาก


                หลังอาหารกลับสู่เบลเกรด ช้อปปิ้งห้างใหญชื่อว่า Usse มีสี่ชั้นด้วยกัน ส่วนมากแบรนด์ท้องถิ่น แต่มี ซาร่า มาร์กแอนส์สเปนเซอร์ ซุปเปอร์มาเก็ต

                 อาหารเย็นโรงแรมแบบบุปเฟต์ แกะอบซอสไวน์แดง อร่อยมาก นุ่มแทบละลายในปากเลย

                 วันนี้เริ่มเดินทางออกนอกเมืองแล้ว  ออกจากเบลเกรด มุ่งทางด่วนลงใต้ ก่อนจะแยกไปทางตะวันตก ปลายทางช่วงเช้านั้ไปเมืองโตโปลา Topola  เพื่อไปชมโบสถ์เซนต์จอร์ส สร้างโดยกษัตริย์ Peter 1 แห่งยูโกสลาเวีย เพื่อเป็นที่ฝังร่างของราชวงศ์ รถจอดตรงหน้าโรงแรม Oplenac เดินขึ้นเนินด้านซ้ายมือสัก ร้อยเมตรก็ถึง จ่ายค่าเข้าชม สองยูโร ชมได้ สามที่ แบบคอมไบ ถ่ายรูปได้ ด้านในภาพโมเสก สวยงามเต็มพื้นที่ถึง 725 ภาพ 
                 ด้านตรงข้ามโบสถ์เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ มีเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และห้องเก็บไอคอน อันตรงกลางห้องเด่นสุดได้มาจากเยรูซาเล็ม แกะสลักจากหินอ่อนรูปลาสซัปเปอร์ นาซีตอนบุกถึงนี่ได้นำกลับไปด้วย หลังสงครามถึงได้คืน ในนี้ไม่ให้ถ่ายรูป







เข้าห้องน้ำที่โรงแรมเสีย สิบเฟนนิก มีของที่ระลึกอยู่ร้านเดียวตรงประตูทางเข้า

                เดินทางต่อผ่านเมือง Cacak ระยะทางไม่ถึงร้อยกิโล แต่ไปเร็วไม่ได้ ถนนเล็ก บางทีก้อติด
รถบรรทุกข้างหน้า 
จะเจอกับถนนแบบนี้ไปตลอด ไม่มีทางด่วนให้วิ่งแล้ว ฉะนั้นจึงต้องใช้เวลามากกับการเดินทาง
                     เดินทางต่อไปที่ทะเลสาบ Medjuvrsje ทานอาหารเที่ยวและล่องเรือ เหนือเขื่อน ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงมาถึง  ทะเลสาบที่นี่มีปลาหนึ่งร้อยชนิด นกร้อยห้าสิบ แหล่งอนุรักษ มีบ้านพักตากอากาศริมทะเลสาบ เห็นแล้วก้อนึกถึงเขื่อนแถวบ้านเรา 
ร้านอาหารบรรยากาศดี ริมเขื่อน ชื่อ Plaza

               แล้วต้องนั่งรถย้อนกลับไปที่ Topola ไปพักที่เมือง Arandjelovac อีกสองชั่วโมง
พรุ่งนี้ก้อต้องผ่านตรงนี้อีกตอนไปบอสเนีย คิดได้ไงคนทำรายการ
               Izvor โรงแรมน้ำแร่ มีสระว่ายน้ำใหญ่ มีสวนน้ำ แต่ไม่มีได้แตะสักคน อาหารค่ำแบบบุปเฟ่ต์
ในโรงแรม 

               เช้านี้เดินทางไกลเข้าประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ระยะทางเกือบสามร้อยกิโลเมตร เช้านี้ได้บอกคณะไปแล้วให้ทานเยอะหน่อย มื้อกลางวันไปบ่ายแน่ๆ ดูจากถนนหนทาง คดเคี้ยวไปมา 
วิ่งสวนเลนกัน ถ้าติดรถบรรทุกข้างหน้าก้อยิ่งช้าเข้าไปอีก วิ่งด้วยความเร็วระหว่าง 30-60 กิโลต่อชั่วโมง ไม่สามารถไปได้เร็วกว่านี้สำหรับรถบัส 
               ถึงพรมแดน ใช้เวลาตรวจหนังสือเดินทางสำหรับเซอร์เบีย ไม่นานมาก สักสิบห้านาที สำหรับบอสเนีย ด่านดูโทรมๆ แย่กว่าเซอร์เบีย ห้องน้ำก้อไม่มี แถมยังตรวจช้าอีก เกือบๆ สี่สิบห้านาที  ทั้งสองด่านไม่ต้องลงจากรถ เพียงแค่รวบรวมหนังสือเดินทางไปให้ตรวจ ไม่มีเจ้าหน้าที่เดินขึ้นมาตรวจในรถเลย ผ่านพิธีการแล้ว เข้าสู่ประเทศบอสเนีย นั่งไปอีก 18 กม.จะถึงเมืองวิสิกราด Visegrad เมืองนี้
ชื่อเหมือนกับเมืองหนึ่งของฮังการี มีแม่น้ำ Drina ไหลผ่าน ระหว่างที่รถวิ่งผ่านเราจะเห็นสะพานหินโบราณมีลักษณะเป็นซุ้มโค้ง มีชื่อว่า Mehmed Pasa Soklovic สร้างเสร็จในปี 1577 โดยชาวเติร์ก  และเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2007

               จากนั้นเส้นทางจะวิ่งไปตามหุบเขามีแม่น้ำ ดริน่า ขนาบด้านข้าง ลอดอุโมงค์เล็กๆ อีกมากมายเป็นเส้นทางที่สวยมากระหว่างนี้

               ไปถึงเมืองหลวงซาราเยโว บ่ายสามกว่า จากจุดจอดรถเดินเข้าเมืองเก่าอีก เพื่อไปร้านอาหาร กว่าได้ทานเกือบสี่โมงเย็น  คุมเวลายากสำหรับการเดินทางทริปนี้ ไม่ใช่เพราะบุคคลนะ แต่เป็นเรื่องถนนแค่สองเลน รถบรรทุก เส้นทางที่คดเคี้ยว นี่แค่สิบกว่าคนเองนะ ถ้ามากกว่านี้ ไม่อยากจะคิด เอาแค่ห้องน้ำตามปั้มส่วนมากชายห้องหญิงห้อง  ต้องโทรบอกร้านอาหาร กับไกด์ท้องถิ่นเรื่องเวลา
           
                ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าใช้เวลาทัวร์ไม่เกินชั่วโมง ในเมืองเก่าย่านออตโตมาน มีร้านค้าเยอะ ขายตั้งแต่เครื่องทอง เงิน ทองเหลืองเอาส่วนของลูกจรวจมาทำ ลูกกระสุน พรมทอมือ ร้านบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นร้านเล็กๆ คล้ายๆบาร์ซ่า ของตรุกี ไฮไลท์ของทัวร์เน้นไปที่ว่า เยรูซาเล็มแห่งสลาเยโว ในพื้นที่สี่ร้อยตารางเมตรมี มัสยิด โบสถ์ยิว อันนี้เสียตังค์ เห็นไกด์บอก สามมาร์ก โบสถ์คาทอลิก และออโธดอกซ์  เราทัวร์หลังอาหารเกือบห้าโมงเย็นแล้ว มัสยิดติดละมาดพอดี ชมได้จากหน้าโบสถ์ โบสถ์ยิว เสียตังค์ไม่ได้เข้า โบสถ์คาทอลิกฟรี ได้เข้า เหมือนดูใหม่ๆ ไม่มีไรโดดเด่น โบสถ์ออโธดอกซ์ ไปถึงปิดพอดี ส่วน War Tunnel ปิดแล้วไปไม่ทัน พรุ่งนี้ต้องทำเอง หลังแวะไปทั้งสี่แห่ง ไปชมสะพานลาติน จุดที่อาร์ค ดยุค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ถูกลอบปลงพระชนม์  แล้วให้อิสระหาของที่ระลึกกัน อาหารค่ำในเมืองเก่าเช่นกัน ทานตอนทุ่มครึ่ง ทั้งๆที่ไม่หิวกัน แต่ก็ต้องทานไปตามหน้าที่  หลังอาหารต้องเดินกลับไปขึ้นรถที่เดิม แต่คนขับรถเลื่อนมาใกล้กว่าเดินหน่อย เพราะโทรบอกว่าอีกสิบนาทีจะกลับไป เรื่องโทรศัทพ์เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้งานเราราบรื่นมากขึ้น หากได้ซิมดีๆ แล้วสามารถเติมเงินทางเน็ตได้ แล้วใช้เบอร์เดียวตลอดจะดีมาก ได้ซิมจากพี่เหน่ง ซื้อนะไม่ฟรี เป็นซิมอเมริกาอังกฤษ มีให้ทั้งสองเบอร์ สองประเทศ ท่านอื่นอาจมีดีกว่านี้แนะนำกันได้ ใช้มาปีแล้วก็สะดวกดี เติ่มเงินทางเน็ตได้ ส่วนใหญ่เบิกค่าโทร 20 ยูโร ต่อทริป  ไม่มากหรอก เทียบกับงานที่ออกมาแบบสมบูรณ์ แล้วแต่คนทำ อะไรก้อเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มองข้ามซอตจะทำให้ท่านผ่านความผิดพลาดที่จะเกิดได้   

               คืนนี้พักที่โรงแรม Radon Plaza ห้องใหญ่มาก แต่อาหารเช้าไม่ค่อยดี เทียบกับโรงแรมก่อนหน้านี้ 
   
            น้ำพุตรงทางเข้าเมืองเก่า


สะพานลาตินจุดเริ่มของมหาสงครามโลกครั้งที่ 1
                    เช้านี้ออกจากโรงแรมไป War tunnel หรือ Tunnel of Life เปิดเก้าโมงเช้า รถจอดริมถนนก่อนถึงบ้าน เดินไปแค่ ห้าสิบเมตร ไม่มีที่จอดรถบัส ต้องจอดก่อนถึงเล็กน้อย เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ยื่นวอเชอร์ ไกด์ท้องถิ่นเขียนไว้ให้แล้วแต่เมื่อวานเย็น มีชายหน้าตาดีมาแนะนำ ถามว่าเคยมายัง เราตอบอย่างมั่นใจว่าครั้งแรก เค้าเลยบอกว่าเริ่มจาก เข้าไปชมวิดิทัศน์ ยี่สิบนาที ต่อด้วยแกลลารี่ กับอุโมงค์ แล้วแต่เวลา คุยไปคุยมาหนุ่นนี้เป็นหลานเจ้าของบ้าน ตอนดูวิดิทัศ ใกล้ๆจบ มียายเอาน้ำรออยู่ปากอุโมงค์แจกแด่ทหารที่เข้าออก เป็นย่าของหนุ่งคนนี้ ตอนนั้นเพิ่มอายุสิบเจ็ดเอง แต่ก้อต้องเป็นทหารแล้ว บ้านใช้ทำเป็นแกลเลอรี่ แสดงถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการขุด รวมไปถึงรถที่ใช้ลำเลียงเสบียงด้วยรางในอุโมงค์ อุโมงค์แต่เดิม ยาว 800 เมตร ลอดผ่านสนามบินเท่านั้นก้อจะถึงเขตปลอดภัย  ปัจุจบันเหลือแค่ยี่สิบห้าเมตร ลงจากในบ้าน ออกไปลานหน้าบ้านเท่านั้นเอง มีปลูกต้นพลัม แพร์ 
 ขณะนั้นซาราเยโวถูกกองกำลังชาวเซิร์บล้อมเมืองไว้ทั้งหมด เหลือเฉพาะด้านภูเขาที่ออกไปโครเอเชียอีก สามร้อยกิโล ได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรมจากสหประชาชาติ ซึ่งได้เขตสนามบินเป็นของ
ยูเอ็น แม้แต่ชาวซาราเยโวก้อผ่านไม่ได้ จากภาพเส้นสีแดงคือเส้มปิดล้อมของทหารฝ่ายเซิร์บ








 

                 จากนั้นนั่งรถอีกสามชั่วโมงไปเมืองโมสตาร์ Mostar เส้นทางสวยไปตลอด


               ไปถึงรถจอดหลังโบสถ์ฟรานซิสกัน มีหอระฆังสูงที่สุดในเมือง แต่ดูใหม่อยู่
จากหน้าโบสถ์เลี้ยวซ้ายเดินตรงเข้าเมือง สัก 600 เมตรได้ เป็นเส้นถนนเดียวไปตามทาง สองข้างมีร้านค้าตลอดแนว ข้ามสะพานเก่า ยังเห็นมีคนกระโดดน้ำจากสะพานซึ่งสูง 28 เมตร อีกด้านของสะพานยังคงเป็นเมืองเก่า มีร้านค้าร้านอาหาร ของที่ระลึก เราทานอาหารที่ร้าน Kulkuk เมนูเนื้อย่างรวม มีไก่กับเนื้อ เลยบอกให้ร้านแยกไก่จาน เนื้อจาน เลือกทานกันเอา ไม่ั้งั้นจะถูกรวมมาเป็นถาดใหญ่

               หลังอาหารชมเมืองเก่า มีมัสยิดเสียค่าเช้า 1.5 ยูโร เข้าไปด้านในนึกว่าใหญ่โต เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างสักหกสิบตารางเมตร มีพรมปูอยู่ที่พื้น พรมนี้จะมีคนนำมาบริจาคให้กับมัสยิดหลังมีคนเสียชีวิต สี่สิบวัน และซุ้มแบบรวงผึ้งหันไปทางเมกกะ และตัวหนังสืออาระบิก ตามผนัง เค้าห้ามมีรูปเคารพใดๆ ทั้งสิ้น ชั้นล่างเป็นที่ทำพิธีของผู้ชาย ชั้นลอยเล็กๆเป็นของผู้หญิง ด้านหน้ามีบ่อน้ำไว้ทำความสะอาด ลงไปนิดเดียวข้างมัสยิดริมแม่น้ำ จะมีมุมถ่ายรูปกับสะพานเก่าที่สวยที่สุด ชมบ้านของคนมั่งมี ในยุคของเติร์ก มีอาณาบริเวณไม่กว้างเท่าไหร่ กำแพงล้อมรอบ บ้านสองชั้น จุดที่ให้ชมจะเป็นชั้นบน เป็นห้องรับแขก มีโซฟานั่ง เป็นส่วนชานที่สร้างยื่นออกไป มีโถใส่กาแฟไว้ต้อนรับแขก ไกด์บอกว่ามี ร้อนกับเย็น ถ้าได้แบบเย็นแสดงว่าเจ้าของบ้านไม่ยินดีต้อนรับ มีชุดที่ใส่สำหรับตอนอยู่บ้านของผู้หญิง ลักษณะเป็นกางเกงหลวมๆเป้ายานถึงหน้าแข้ง คล้ายฮิปฮอปสมัยนี้ก้อไม่ปาน หมวกของผู้ชาย มีผู่ห้อยอยู่ ถ้าหันพู่ไปทางซ้ายแสดงว่าแต่งงานแล้ว  จากนั้นลงมาชั้นล่างทุกคนจะได้รับกาแฟเตอร์กีสคนละถ้วย ใครไม่ดื่มกาแฟมีน้ำหวานให้แทน





               จากนี้ก็ให้อิสระเดินเล่นซื้อของกัน นัดกันที่สะพาน ถ้าอากาศไม่ร้อนก็น่าเดินอยู่หรอกเมือง
น่ารัก  แล้วไปชอปปิ้งต่อด้วยแอร์เย็นๆในห้างสรรพสินค้า ทานอาหารเย็นที่ Fontana คนขับบอกมีสองสาขา ควรจะเช็คดูรายละเอียดก่อน รายการหมูสเต็กอร่อยหลังอาหารเข้าโรงแรม Bristol จ่ายค่ายกกระเป๋า ยี่สิบยูโร ไม่แพง ทั้งเข้าและออก 


               วันนี้ออกจากโรงแรมตอนแปดโมง เดินทางเข้ามอนเตเนโกร วิ่งไปสองชั่งโมงถึงเมือง Trebinje ถึงจะได้แวะเข้าห้องน้ำกัน ไปอีก 20 กว่ากิโลจะถึงพรมแดน ตอนออกไม่นาน แต่ตอนเข้ามอนเตใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาที ควรจะเปิดหน้าวีซ่าไว้จะช่วยให้รวดเร็วมากขึ้นเส้นทางยังเป็นภูเขา จนผ่าน
 พรมแดนมาสักชั่วโมงจึงเริ่มเห็นทะเล ลงเขามาเส้นทางรถจะวิ่งเลาะเรียบอ่าวกอตอร์


 แวะถ่ายรูปริมอ่าวสักหน่อย

                โดยรายการต้องเที่ยวกอตอร์ก่อนแล้วทานอาหารเที่ยง ถ่้าทำตามรายการมีกินบ่ายสามแน่ขอทานอาหารก่อนแล้วค่อยเที่ยวดีกว่า ระยะทางจากโมสตาร์ 170 กิโล ยังมาถึงร้านอาหารเที่ยวกว่าเลย จากเหตุการณ์ก่อนๆ พอจะคำนวนได้ว่าต้องปรับยังไง ร้านอาหารร้านนี้อยู่ที่ ก่อนเมืองกอตอร์ ราวๆ สามกิโล ต้องเดินลงไปริมทะเล ทางลงอยู่ด้านหลังลานจอดรถ และลงไปสักสองร้อยเมตร  รสชาติพอได้เน้นบรรยากาศริมทะเล
                เที่ยวเมืองกอตอร์ รถจอดใกล้เมืองเก่ามองเห็นกำแพงเมืองได้ เราเดินไปเข้าทางประตู
ซีเกท เข้าประตูเมืองจะพบกับจตุรัสใหญ่มีศาลาว่าการเมืองเก่า แต่เดิมเป็นโรงละคร สร้างในสมัย
นโปเลียน ตรงข้ามเป็นอาคารที่ปกครองของเวนิช มีหอนาฬิกา ใต้หอจะมีที่ไว้ประจานผู้ที่ทำความผิด จากนั้นเลี้ยวขวาไปอีกหน่อยจะเจอจัตุรัสดอกไม้ มีบ้านของคนรวยในสมัยก่อน เดินไไปอีกหน่อยจะถึงจัตุรัสไทฟอน ชื่อเดียวกับโบสถ์ มีหอระฆังสร้างต่างวาระกัน จึงมีศิลปะที่แตกต่าง แถบนี้เคยพบกับแผ่นดินไหว ครั้งใหญ่เป็นโบสถ์แบบคาทอลิก เข้าฟรี ออกจากโบสถ์เลี้ยวขวาไปชมโบสถ์ออธอดอกซ์ สร้างใหม่ ด้านในสวยดีเหมือนกัน ปล่อยให้เดินเล่นกัน นัดเจอกันที่ประตูเมืองทางเข้า ประตูทางเข้าเมืองมีหลายประตู ถ้าหลงให้หันหลังให้ภูเขา จะมุ่งไปซีเกท บนเขายังมีกำแพงสร้างล้อมไว้อีกชั้นเพื่องป้องกันเมือง ยาว 4.5 กิโล สร้างสมัยเวนิสปกครองแถบนี้ แวะจิปกาแฟ กับน้ำหนึ่งขวดจ่ายไป 2.5 ยูโร ถือว่าค่าครองชีพยังไม่แพงมาก 







                     ไปชมเมืองบุดวาต่ออีก 35 กม. จากจุดจอดรถต้องเดินเข้าเมืองอีกราวๆ ห้าร้อยเมตร มีประตูทางเข้าหลายประตู เราเลือกด้านริมทะเลเดินง่ายกว่า  ตรงเข้าเมืองไปเรื่อยๆจะถึงโบสถ์เซ็นจอห์น มีไอคอนพระแม่มารี ห้องบูชาขวามือ มีโบสถ์ออโธดอกซ์ อุทิศแด่พระแม่
                      ตามตรอกซอกซอยเล็กๆ มีของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านค้า ไม่มีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่
ห้องน้ำต้องเข้าตามร้านกาแฟ หน้าโบสถ์มีอยู่ อุดหนุนไอศครีมสักถ้วยก้อได้
เมืองบุดวามีกำแพงล้อมรอบเช่นเดียวกัน
หอระฆังของโบสถ์ St. John
โบสถ์แม่พระ ตรงข้ามกัน มีร้านกาแฟนั่งเล่นได้
              เดินทางต่อเข้า เมืองหลวงมอนเตเนโกร พอดกอริตซา อีกเกือบสองชั่วโมง ถึงโรงแรม 
Podgorica ทานอาหารในโรงแรม

               วันนี้ตอนเช้าชมเมืองนิดหน่อย โดยรถ ผ่านอนุเสาวรีย์กษัตริย์นิโคล่าที่ 1 ผ่านย่านเมืองเก่าของชุมชนชาวเติร์ก มีหอนาฬิกาไปชมโบสถ์ ออโธดอกซ์ The Cathedral of the Resurrection of Christ ยังสร้างไม่เสร็จ แต่มีชั้นใต้ดินเสร็จแล้ว ลงไปชมได้ 


                  พาไปชอปปิ้งในเมือง ร้านค้าไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า ไม่มีแบรนด์เนม ร้านกาแฟบ้าง ช่วงนี้ ทุกเมืองที่ไปมาถ้าเป็นในร้านจะมีการลดราคา ต่อด้วย shopping mall Deltar city มีซาร่า มาร์กแอนด์สเปนเซอร์ และอื่นๆ ซุปเปอร์ ไปสนามบิน 12 กิโล สนามบินเล็กๆ มีชั้นเดียวเอง ปีกซ้ายเป็น Arrival ปีกขวา Departure เดินทะลุถึงกันได้ เคาร์เตอร์ มีประมาณ สิบ เอง เปิดให้เช็คอินก่อน สองชั่วโมง เสร็จแล้วยังเข้าไม่ได้นะ สนามบินจะประกาศเรียก ให้เข้าข้างใน ด้านในมี ดิวตี้ฟรีเพียงร้านเดียวเท่านั้น

สิ่งที่ควบคุมยากคือเรื่องเวลาระหว่างเดินทาง เส้นทางเป็นถนนเล็กรถวิ่งสวนกัน  ประมาณการวิ่งทำความเร็วได้ระหว่าง 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากต้องข้ามประเทศ ต้องเผื่อ เวลาอีก ชั่วโมง เข้าออก