วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

เยอรมัน- สวิส สุดสบาย


          เป็นรุ่นที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้วสำหรับ มินิ เอ็มบีเอ เกษตร ปีนี้คนเดินทางน้อยกว่าทุกรุ่น จากไปพร้อมกัน 2 คัน เหลือแค่ 25 ท่านเท่านั้น แต่ก็ดีไม่วุ่นเหมือนทำคณะใหญ่ ๆ เดินทางด้วยสายการบิน Etihad วันที่ 2/3/09 เปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี้ ช่วงไฟท์ต่อจากอาบูดาบี้ไปมิวนิค ได้อัฟเกรดนั่งชั้นธุรกิจด้วย สบายที่สุด คราวนี้รู้สึกหลับไม่ค่อยดีเหมือน เที่ยวก่อน ๆ ที่จะหลับดี ทุกครั้งที่บิน ไปถึงมิวนิคยังไม่ 6 โมงเช้าเลย เลยไม่ได้เร่งคณะ สบาย ๆ 

         ออกรถได้ตอนเกือบ 7 โมงเช้า มีึเวลาเยอะอยู่กว่าจะถึงเวลานัดดูงานที่ บริษัทซีแมน มีเวลาไปเที่ยวกันก่อนซิ เริ่มจาก โอลิมปิคปาร์ค อันเป็นสถานที่จัดกีฬาโอลิมปิค ฤดูร้อน ปี 1972 สภาพดูโทรมไปเยอะเลย คราวนี้เดินเลยไปถึงสระว่ายน้ำ เห็นมีคนว่ายอยู่ในสระ น่าจะเป็นนักกีฬานะ มาซ้อมกัน อากาศข้างนอก 5 องศา มีฝนนิดหน่อย  ผ่านโอลิมปิคฮอล์ล ตอนนี้ใช้จัดแสดงงานดนตรี เห็นใบปิดจะมีวงเมททาลิก้า เดือนเมษา และอีกหลาย ๆ วง ใช้เวลาเดินเล่น 1 ชั่วโมง จากนั้นไปเดินเล่นหน้าพระราชวังฤดูร้อนนิมเฟนบูรก์ อีกครึ่งชั่วโมง อากาศเย็นดี มีพวกนกเป็ดน้ำและหงส์ ที่คณะทัวร์หลาย ๆ คนชอบร้องตระโกนว่ามีห่านด้วยนี่ถ้ามันฟังรู้เรื่อง ต้องร้องให้โฮแน่เลย ถูกลดสกุลรุณชาติซะงั้น ว่ายเล่นกันอย่างมีความสุข ไม่สนใครจะมาถ่ายรูปหรือจะมาคุยกันมัน 

           ไปถึงซีแมน ตอน 9.20 น. มีเจ้าหน้าที่มาต้อนรับ ถามลูกทัวร์ว่าต้องแปลหรือเปล่า เงียบ กลัวเสียชื่อความเข้าใจเรา เงียบแปลว่าพี่ ๆ ฟังกันเข้าใจนะ เอ้าไม่ต้องแปล แบ่งเป็นสองกลุ่ม เริ่มจากผู้ก่อตั้งบริษัท Werner von Siemens เกิดที่เบอร์ลิน บิดามารดา มีลูกเยอะ น่าจะเกือบโหล เรียนหนังสือยังไม่ถึงมหาลัยต้องสละให้น้อง ๆ เรียน กันต่อ ที่บ้านค่อนข้างยากจนด้วย สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพ หรือไม่ก็โดนเกณฑ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มีโอกาสเรียนต่อด้านเทคนิค จนตั้งบริษัทขึ้นมาโดยใช้ชื่อของตนเอง สินค้าที่สร้างชื่อแรก ๆ คือเครื่องโทรเลข ที่ส่งข้อความได้ง่ายขึ้น จากนั้นซีแมนก็พัฒนาไปเรื่อย ตั้งแต่ การสื่อสาร การขนส่ง การแพทย์ แ ละอีกมากมาย เ จ้าหน้าที่พาเดินดู สิ่งประดิษฐ์ของซีแมนยุคแรก ๆ ดูแล้วก็น่าทึ่ง เก่งจัง ที่คิดอะไรได้เยอะแยะไปหมด 1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไปใหนต่อดี ยังไม่ถึงเวลาทานข้าวเลย

        พานั่งรถชมเ มืองนิดหน่อย เริ่มจาก English garden สวนแบบอังกฤษ หมายถึงสวนที่จัดแบบธรรมชาติ ต้นไม้ต้นใหญ่มาก ไม่ค่อยนิยมปลูกพวกดอกไม้ที่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ  Engle of peace สร้างเพราะสงบสุขมา 30 ปี หลังสงครามฟรังโก-ปรัสเซี่ยน สงครามรวมชาติของเยอมัน ถนนแม็กซิมิเลี่ยน ถนนโฮโซมีแต่ของแพง โรงละครแห่งชาติ โรงรถม้าหลวง ย่านพิพิธภัณฑ์ ไปทานอาหารจีน ที่ร้าน Canton เจ้าของทักทายกันดี มาทานบ่อย อาหารเค้าก็รสชาติดีเลย  มื้อนี้โชว์นิดหน่อย หั่นพริก กันให้เห็น ทำพริกน้ำปลาปกติวันแรกจะยังไม่ทำ แต่เห็นว่าทัวร์ค่อยข้างสั้น เลยเอาซะหน่อย หลายคนบอกอร่อย ไม่รู้อร่อยตรงใหน ถ้าใครทำพริกน้ำปลาแล้วบอกว่ากินไม่ได้ ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว ปกติร้านนี้จะขอไวน์อิตาลีดื่ม ฟรีนะซิ แต่เป็นกลางวันยังไม่ค่อยอยากเดี๋ยวจะพาง่วงซะเปล่า ยิ่งง่วง ๆ อยู่ด้วย ทานเสร็จพาเดินชมเมือง เริ่มจากพระราชวัง Resident พาไปลูบจมูกสิงห์โตตรงหน้าประตูทางเข้าวัง มี 4 บานด้วยกัน หมายถึงมี 4 ตัวนั่นแหละ ตัวใหนก็ได้ ลูบแล้วอธิฐานอะไรจะประสบผล หน้าสิงห์โตแต่ละตัวถูกลูบซะมันวาวเชียว ไม่รู้ใครเริ่มคิดละเนี่ย จากนั้นไปที่ Hall of mashell วีรบุรุษของบาวาเรีย คนหนึ่งนายพลยุคสงคราม 30 ปี อีกคนยุคสงครามนโปเลียน แ ล้วพาเดินไปที่ศาลาว่าการเมืองใหม่ ขบวนเดินช้ายิ่งกว่าเต่า จะถ่ายรูปกันอะไรมากมายปานนั้น เลยนัดจุดเจอกันก่อน ที่ Marienplatz ใครจะไปใหนก็แยกกันไป นัดกัน 5 โมงเย็น ตรงนี้ ถ้าใครอยากไปเดินกับผมต่อตามมา นึกว่าจะแยก ยังมาเกาะอีกแน่ะ ไปไปชิมไส้กรอกย่างอร่อย ราคา 2.7 ยูโรที่ตลาด viktualienmarkt ปากท้องของคนมิวนิคอยู่ที่นี่ เ ป็นตลาดกลางแจ้ง ขายของกินในครัวเรือนทุกอย่าง ให้เวลา 20 นาที เอ้าอีกคนอยากไปดู sex shop ไปกันเลยไหม ใกล้ ๆ นี่่เอง ที่รู้เพราะเดือนที่แล้วเดินผ่านแล้วเห็นพอดี เลยจำ ๆ เอาไว้ เพราะรู้ว่ามันต้องมีแบบนี้แน่ ๆ จากนี้ไปให้เวลาอิสระแล้วนะครับซึ่งหมายถึงตัวเราด้วย อยากพักเหมือนกัน แต่ยังก่อน มีอีก 3 คนบอกพาไปซื้อของหน่อย ไปก้อไป เดินเกือบชั่วโมง ไม่ไหวแล้วเมื่อยมาก เลยขอตัวมาก่อน เดินไปดูร้านอาหารเย็นที่ี่อยู่ใกล้หน่อยกันพลาด เดี้ยวพาเดินผิดแล้วจะเสียฟอร์ม แล้วไปซื้อของตามออร์เดอร์ก่อนมีเวลา ฝนวันนี้ตกทั้งวันแย่จริง ๆ เวลาเหลือนั่งพักในร้านกาแฟ ปลีกวิเวก ต้องเลือกร้านที่อยู่ในซอย ๆ หน่อยรับรองไม่มีใครเจอ เกือบ 5 โมงเย็นกลับไปจุดนัดได้เวลานาฬิกาที่ศาลาว่าการเมืองโชว์พอดี จริง ๆ นัดวลานี้เพื่อให้ลูกทัวร์ได้ดูกันก่อนไปทานอาหาร มื้อเย็นนี้อาหารจีนที่ร้านเซี่ยงไฮ้ เดินไปสัก 10 นาที แต่ลูกทัวร์เราเดินเกือบ 20 นาที อาจเป็นเพราะคนไทยขายาวไม่เท่าฝรั่ง หลังอาหารเข้าโรงแรมพักที่ Comfort ห่างเมืองสัก 20 นาที โรงแรมดี ใหม่ แม้จะเป็น 3 ดาว เสร็จงาน ทุกอย่างนิ่ง กระเป๋าขึ้นห้องเรียบร้อย รู้สีกหิวน้ำเหลือกำลัง วันนี้ขอเบียร์เย็น ๆ แล้วกัน อ้า..สดชื่นกำลังเพลินไปได้ ครึ่งแก้วลูกค้าเริ่มลงมาแจม ด้วย แค่แก้วเดียวตาจะปิดให้ได้เลย ขอตัวขึ้นห้องดีกว่าจัดข้าวจัดของหน่อย อาบน้ำแบบไม่ตั้งใจ อาจหนังสือได้นิดเดียว จำความได้น่าจะสัก 4 ทุ่มหลับแล้ว..

วันที่ 4 /3/09

         ตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า จิบกาแฟ ทำธุระเสร็จแล้ว ลงมาตอน 7 โมงเช้า โอโฮ้ ทำไมตื่นกันเช้าจัง นัด

ทานอาหารเช้า ตอน 7.30 น. กะจะทานให้เรียบก่อนนะเนี่ย ลงมาคนนั้นก็ถาม คนนี้ก็ถาม เช่น เพื่อนคนนั้นคนนี้ยังไม่ลงมาเลย  ครับ โทรตามให้ครับ ออกกี่โมง อ้าวก็นัดแต่เมื่อวานแล้วนี่ พี่ทำอะไรอยู่ (นึกในใจ)  8.30 น. ครับ

อะไรกันเนี่ย  อาหารเช้าที่นี่หน้าตาใช้ได้ทีเดียว หมายถึงอาหารมีเยอะทีเดียว 8.30 ออกได้ตรงเวลาเลย เยี่ยมครับพี่น้อง วันนี้ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง เพื่อทานอาหารกลางวันที่  ทะเลสาบ Titisee  แถว ๆ Black forest ใกล้ ๆ ถึงเห็นมีหิมะปกคลุมอยู่ตามทุ่งหญ้าสองข้างทาง ค่อยเบาใจหน่อย เพราะที่พัก เราถ้าไม่มีหิมะแล้วบรรยากาศสำหรับคนไทยจะหายไปเยอะเลย  อาหารดีเป็นแบบฝรั่ง มีเบียร์แถมให้คนล่ะแก้ว พนักงานร้านถามเราว่าใครจะรับเบียร์บ้าง ส่วนใหญ่จะรับ นับลำบาก เปลี่ยนใหม่ ใครไม่รับเบียร์บ้าง ง่ายกว่า ใหน ๆ ก็ของฟรี เลยบอกว่าให้รับทุกคน ใครไม่เอา รับไว้ก่อน ไม่ดื่มก็ให้เพื่อนดื่มกันไป  ร้านอาหารร้านนี้ติดกับร้านค้าพวกนาฬิกากุ๊กกู มีสาธิตวิธีการทำด้วย ปกติจะให้เพื่อนแปล เพราะที่นี่มาด้วยกันทีส่วนใหญ่ 2 คัน คราวนี้แปลเอง ก็ได้ความรู้ดีเหมือนกัน เริ่มจาก นาฬิกากุ๊กกู เมื่อ สองร้อยกว่าปีก่อน หน้าตาเป็นแบบนี้ พัฒนามาเรื่อย จนถึงวิธีการทำ เริ่มจากตัวเรือนเป็นไม้ ได้จากแถบป่าดำแห่งนี้ งานไม้แกะสลักได้มาจากหลาย ๆ หมู่บ้าน บางหมู่บ้านจะเชี่ยวชาญ แกะสลักเกี่ยวกับกวาง หมู่นี้ถนัดเกี่ยวกับ ดอกไม้ แบ่งแยกกันไป แล้วนำมาประกอบกัน ตัวที่ให้เสียงกุ๊กกู ไม่น่าเชื่อ มาจากท่อแล้วมีกระดาษปิดตรงปลาย คล้าย ๆ ตอนเด็กเราเป่าของเล่นอะไรสักอย่าง  ชมเสร็จให้เวลาเดินเล่น ถึง 16.30 น. แล้วกลับโรงแรม แค่ 15 นาที เท่านั้น สบายจริง ๆ เข้าโรงแรมเร็ว แต่อะไรจะบ้าถ่ายรูปขนาดนั้น กว่าจะแจกกุญแจหมดปาไปเกือบ ชั่วโมง  บอกแล้วถ้ามีหิมะลง ที่นี่น่ารักน่าอยู่ที่สุด โรงแรมที่พักชื่อ Hofgut Sternen น่ารักแบบไม้ ๆ แต่ละห้องแต่งไม่ค่อยเหมือนกัน อาหารเย็นทานในโรงแรม เป็นขาหมูเยอรมัน  ลูกค้าจะถามว่าคนล่ะขาหรือเปล่า ครับพี่ใช่แล้วแล้วชูนิ้วก้อยเป็นการเปรียบเทียบว่ามันใหญ่จริง  แต่ให้คนละขาจริง ผู้หญิงส่วนใหญ่ทานไม่หมดหรอก ยกเว้นบางคนโรคจิตเห็นของเหลือเป็นไม่ได้ ต้องจัดการให้หมด ก็สนุกสนานไปอีกแบบ หมดวันแบบไม่ซีเรียส วันนี้หลับเร็วเหมือนเดิน ไม่เกิน 4 ทุ่ม น่าอิจฉาจริง

วันที่ 5/03/09

            ตื่นมาเห็นหิมะขาวโพลนไปหมด บ้างเกาะตามกิ่งสน ดูสดใสสะอาดดีเหลือเกิน ลูกทัวร์ตื่นตาตื่นใจกันยกใหญ่  หิมะกำลังตกหนักซะด้วย หลังอาหารเช้า ก่อนออกรถ ถามทุกครั้งก่อนออกรถ ตรวจสอบทรัพย์สินมีค่านะครับ

พลาสปอตร์  สร้อยคอ แหวน นาฬิกา กระเป๋าตังค์ พร้อมนะครับ ไปโลด วิ่งไปได้เกือบกิโล

พี่ลืมกระเป๋า

ที่ใหน

ตรงโต๊ะนั่งหน้าโรงแรม

ว่าแล้วเชียวเห็นแวบ ๆ นึกว่าของทัวร์จีนอีกคณะหนึ่ง เห็นกำลังถ่ายรูปอยู่ นี่นะมัวแต่ถ่ายรูปจนลืมทุกสิ่งอย่าง เฮ้อ... จอดรถ บอกคนขับ เอาไงดีไปกลับรถก็วนไกลเลยล่ะ จะจอดก็ลำบากถนนลื่นมีแต่หิมะ ไม่เป็นไรเดี๋ยว

เอ็มวิ่งไปเอาให้ ลงรถได้วิ่งเลยพี่น้อง พอพ้นโค้ง ไม่มีใครเห็นแล้ว เดินซิจะวิ่งให้เหนื่อยทำไม  ไปถึงหน้าโรงแรม อ้าว ไม่มี ไงกัน เข้าไปถามเจ้าหน้าที่โรงแรม นั่นไงเห็นแล้ว ค่อยยังชั่วนึกว่าทัวร์จีนซิวไปซะแล้ว กลับไปถึงรถทุกคนตบมือให้กันเกลียว ไม่รู้จะตบทำไม เขิน เหนื่อยนะ 

          10.30 ถึงน้ำตกไรน์ น้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป กว้าง 150 เมตร สูง 23 เมตร  ถึงช้านิดเพราะต้องทำภาษีที่พรมแดน อากาศค่อนข้างปิด ไม่มีแดดเลยวันนี้ ฝนปอย ๆ ตลอด ชมวิว ถ่ายรูป 45 นาที เดินทางต่อ ถึงเมือง

ลูเซิร์น ทานอาหารเที่ยว สั่งไข่เจียวเพิ่มให้ คิดราคาแล้ว โหดโคตร จานละเกือบ พันบาท ขูดเลือดกันเห็น ๆ หลังอาหาร พาไปถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์สิงโต อันสร้างเป็นที่ระลึกแก่ทหารสวิสการ์ด ที่ปกป้องพระเจ้าหลุยส์ 16 จนเสียชีวิตทั้งกอง 786 นาย ด้วยคำสั่งของหลุยส์ที่ว่า อย่าทำร้ายประชาชนของข้า  ในคราวปฏิวัติใหญ่ฝรั่งเศสปี 1789  ไปถึงไม่งามเท่าไหร่ มีนั่งร้าน ตั้งอยู่ใต้สิงห์โต คงจะทำความสะอาดอะไรสักอย่าง  แล้วให้เวลาซื้อของ

ที่ระลึก มีร้านคนไทย ชื่ออารีย์ ก็ซื้อกันพอหอมปากหอมคอ  15.30 น. เข้าโรงแรม Flora  นัดกันว่าได้กระเป๋าเรียบร้อย ลงมาเจอที่ lobby ใช้เวลา 45 น. พาไปเดินช้อปปิ้งในเมือง ส่วนใหญ่ได้แต่ซ็อตโกแล็ต ก็ดี ได้ของที่อยากได้ ทานอาหาร 19.00 น. หลังอาหารมีคนที่ไปคาสิโน 3 ท่าน พาไปแต่ขากลับไม่ไปส่งนะ ติดลมเจอเพื่อนหัวหน้าทัวร์ด้วยกัน สนิทกันก๊วนกอล์ฟเดียวกัน หยอดไปจิบเครื่องดื่มไป เพลิน ๆ เกือบตี 1.30 น. กลับ ถึงโรงแรมนอนดีกว่า น้ำท่าค่อยว่ากันพรุ่งนี้เช้า....คร่อก....ฟี้....                       

           วันที่ 06/03/09

           เช้านี้ lobby โรงแรมดูวุ่นวาย เนื่องจากมีคณะอื่น 100 กว่าคน ทานอาหารเช้าไล่ ๆ เวลากัน เป็นทัวร์ไทย

เหมือนกัน ลูกทัวร์ยังตรงเวลาเหมือนเดิม กระเป๋าเรียบร้อย ออกเดินทาง 8 โมงเช้าตรง คนขับรถยังแซวคนที่ลืม

กระเป๋าเมื่อวาน วันนี้ไม่ลืมแล้วนะ ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง ไปถึงกรุงเบิร์น หิมะตกตลอดทาง ไปดูหมีก่อนอันดับแรก ที่บ่อหมี ทางเมืองเลี้ยงสืบทอดกันมาหลายร้อยปีแล้ว เป็นหมีสีน้ำตาล หมีเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ตั้งแต่สร้างเมืองกันมา เห็นหมีแค่ 1 ตัว กำลังเดินรอบ ๆ บ่อ ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดี ข้าง ๆ กำลังก่อสร้างปรับปรุง ในอนาคตหมีเราจะได้ลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำที่อยู่ข้าง ๆ ได้แล้ว เป็นโครงการที่ให้เจ้าหมีอยู่อย่างธรรมชาติที่สุด  

         จากนั้นนำชมเมืองเบิร์นเมืองหลวงของสวิส เป็นเมืองมรดกโลกด้วย เริ่มจากนาฬิกา ประจำเมือง บอกจักรราศี ข้างขึ้นข้างแรม เวลา เดือน ปี นอกจากเวลาแล้วยังอื่นไม่รู้ว่าทำงานยังไง  ชมน้ำพุ ที่อยู่ตามถนนเป็นระยะ

ๆ ผ่านบ้านพักของไอน์สไตน์  ซึ่งเคยมาทำงานที่นี่เกี่ยวกับการจดสิทธิบัตร  น่าจะเป็นเหตุผลที่เค้าได้อ่านความคิด

หลาย ๆ คนที่มาจดสิทธิบัตร  เดินต่อไปวิหารมึนสเตอร์ มียอดสูง 100 เมตร สูงที่สุดในสวิส พาไปถ่ายรูป ชมวิว

ข้าง ๆ โบสถ์  เข้าชมข้างใน เป็นครั้งแรกที่เข้ามาข้างใน จะมีเวลาเปิดปิดให้เข้าข้างใน ดูเวลาช่วงนี้ปิดค่อนข้างเร็ว

ภายใน ดูค่อนข้างใหม่ ไม่ได้ประดับประดาอะไรมาก เป็นแบบโกธิค น่าจะเป็นโบสถ์โปรแตสแตนน์  ชมเสร็จแล้วให้เวลาช้อปปิ้ง นัดเที่ยงตรงที่ร้านอาหาร มากันเลทนิดหน่อย บรรยากาศร้านดี อาหารรสชาดอร่อย ที่

Kornhaus keller หลังอาหารมี 5 ท่านแยกจากคณะ ให้รถไปส่งที่สถานีรถไฟ ร่ำลากันเรียบร้อยเดินทางต่อ

อีก 2.30 ชั่วโมง ตรงสู่เจนีวา

         บ่าย 3 ครึ่ง ไปถึงเจนีวา รถค่อนข้างเยอะ ช่วงนี้มีมอเตอร์โชว์พอดี ให้รถจอด ริมทะเลสาบ ถ่ายรูปกับน้ำพุเจ็ตโดว์ พุ่งสูง 140 เมตร ด้วยเครื่องยนต์เจ็ต 200 แรงม้า ให้เวลาถึง 6 โมงเย็น อาหารเย็นไม่ได้เลี้ยงหาทานอิสระกัน ที่นี่มีร้านนาฬิการเยอะมาก สวย ๆ ทั้งนั้น แต่ราคาแพงระยับ เราก็เดินเล่นดูร้านค้าไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ซื้ออะไร

6 โมง คณะพร้อมเดินทางไปสนามบิน ใช้เวลาแค่ 20 นาที ถึงแล้ว เช็คอินแบบต่างคนต่างเช็ค ห่วงอย่างเดียว

เรื่องน้ำหนัก ก็แม่เจ้าเล่นขนซ็อตโกแลต มาซะแบบเหมาหมดร้านเลย แต่ก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีใครติดอะไร  แต่

ก่อนเครื่องออกมีลูกทัวร์ยังไม่มาอีก 4 คน ดีนะแอะใจก่อน ถามเจ้าหน้าที่ที่ประตูขึ้นเครื่องยังขาดอีกเยอะไหม

ที่ขาดของเราทั้งนั้นเลย ประกาศไปก็หลายรอบ สักพักวิ่งมาเป็นแถว ใจเย็นไปหน่อยนะพี่ แต่ผมนะร้อนใจ

ขึ้นเครื่องได้ หลังอาหารหลับยาว ได้ที่นั่งว่าง ๆ  แถวยาว ไม่มีใครนั่งข้าง ๆ ด้วย สบายที่สุด

         ถึงอาบูดาบี้ 6 โมงเช้า มีเวลาต่อเครื่องเกือบ 4 ชั่วโมง ไปนั่งหลับในเล้าจน์ สายการบิน ทานอะไรหน่อย

กลับมาที่ประตูขึ้นเครื่อง ลูกค้าเข้าเครื่องไปกันหมดแล้ว และเราได้อัพเกรดอีกแล้ว นั่งสบายเลยที่นี้  อาหารดี

ไวน์ดี หลับดี ถึงสุวรรณภูมิ 6 โมงครึ่งกว่า ๆ เจอหน้าลูกทัวร์ถามกันใหญ่ว่าไปไหนมา ไม่เจอตั้งแต่ที่อาบูดาบี้

ตอนก่อนขึ้นเครื่อง จะบอกว่าไปนั่งในเล้าจน์ ก็ดูไม่ดี ตอบไปว่า หลับในห้องที่เค้าละมาดกัน ลูกทัวร์แซวว่า

มิน่าถึงไว้เคราให้ดูกลมกลืมใช่ไหมล่ะ บางท่านยังมาบอกอีกว่า เก่งมากที่หลอกด่าพวกพี่ ๆ ได้ ยังนึกไม่ออก

เลยว่าไปหลอกตอนใหน รับประเป๋าเสร็จ ร่ำลากัน ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ

         น่าจะเป็นทริปที่ดีอีกทริปหนึ่ง ทุกอย่างลงตัวหมด เวลา ที่เที่ยว อาหาร โรงแรม สายการบิน ทำงานสบาย

ไม่กดดัน ข้อมูลให้พื้น ๆ เพราะเวลาพูดชอบคุยกันจัง ไม่คุยก็หลับ มีความสุขทั้ง 2 ฝ่าย