วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

เที่ยวอิตาลี - สวิส 14 - 19 กันยายน 2008

วันนี้บินไปกับสายการ Etihad ด้วยเครื่องโบอิ้ง 777 ที่นั่งสบาย แบบ 3/3/3 กับคณะนักศึกษา พา
มาหลายรุ่นแล้ว มีบินไปก่อนชุดหนึ่ง ไปกับเรา 25 คน มีอาหารค่ำบริการบนเครื่องและแอร์คนไทยเห็นมีหลายคน ไม่ห่วงเรื่องภาษาแล้ว บินราว 6 ชม. ไปต่อเครื่องที่อาบูดาบี้ อีกเกือบ 3 ชม. สนามบินเล็ก มาก
เป็นวงกลม เดินแป๊ปเดียวก้อหมด บินต่ออีก 6 ชม. ลงที่มี่มิลาน 7 โมงเช้า ออกมาข้างนอกแล้ว ไปดูรถบัสจอดใหน เจอคนขับอิตาเลี่ยน ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ พวกนี้เขี้ยวสุด ๆ คำแรกที่ถามก่อนเลย มีทิปให้มันวันล่ะ 2 ยูโรต่อคนใช่หรือเปล่า เอากะมันสิ ยังไม่ทันทำงานเลย พวกมาฟอร์มนี้เจอบ่อย
ออกจากสนามบินดิ่งตรงไปเวนิสเลย ลูกค้าเล่าให้ฟังว่าถูกผู้ก่อการร้ายรุ่นเยาว์บอมส์ อึแตกนะสิ ไฟท์ก้อแน่น ขยับไปใหนไม่ได้ ทนจนถึงมิลาน น่าสงสาร นอนกันไม่ค่อยหลับเลย ไปถึงเมสเตร ฝั่งด้านแผ่นดินใหญ่ ไปจุดเช็คพ้อยส์ก่อน หมายถึงเป็นที่ต้องซื้อใบอนุญาติเข้าเมือง ถ้าไม่ได้พักที่นี่เสีย 340 ยูโร
แพงมาก ๆ ที่อิตาลีนี่รถบัสเสียค่าเข้าเมืองทุกเมือง ถึงร้านอาหารเที่ยงกว่า อาหารจีนที่ร้าน พาโกด้า ไม่อร่อยเลย ทานเสร็จลงเรือไปเที่ยวเวนิส มีเวลา 3 ชั่วโมงที่เกาะ เวลาไม่แน่นไปกำลังเดินเที่ยวสบาย ผ่าน
อนุเสาวร์วิกเตอร์ ที่2 เล่าให้ฟังบนรถแล้ว ว่าประวัติเป็นยังไง อิงไปถึง พระบรมรูปทรงม้า ของไทยเรา พึ่งจะอ่านจากหนังสือ พระพุทธเจ้าหลวงในโลกตะวันตก อ่านแล้วดีมาก ๆ เอาไปเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ประกอบทัวร์
ยุโรปได้ (ขอบคุณ เพื่อนจากมติชน อนุเคราะห์หนังสือ หักคอมา ) ผ่านสะพานเฮ้อ สะพานถอนหายใจ
พาไปดูหน้าโบสถ์ซานมาโก เล่าเรื่องราวเฉพาะที่เห็นในส่วนหน้า ส่วนข้างในคิวเข้าแถวยาวเหยียด พาไป
สะพานเรียวโต้ สะพานเก่าแก่ที่สุดของเวนิส สร้างข้ามคลองใหญ่ จากนั้นก้อให้เวลาเดินเล่นกันเอง ห้าโมง
เย็นลงเรือ ข้ามกลับไปฝั่ง นั่งรถอีกชั่วโมงครื่ง ทานอาหารที่เวโรน่า เป็นร้านจีน ดูอาหารดีเลย พักที่โรงแรม
เวสพอยส์ นอกเมืองห้องใหม่ ใช้ได้ดีทีเดียว เจอเพื่อนที่มาก่อนวันหนึ่ง รวมคณะกันแล้ว ออกไปหาไวน์ดื่ม
ข้าง ๆ โรงแรมชื่อเม็กซิกันบาร์ คนเยอะที่นั่งเต็มหมด ได้มุมตรงเคาร์เตอร์ โอเคเลย เพื่อนคอเบียร์เราไวน์
ซื้อดื่มเป็นแก้ว ๆ ราคาเท่า ๆ เบียร์แหละ ห้าทุ่ม ง่วงแล้วกลับไปนอนดีกว่า

เวโรน่า - มิลาน - Engelberg
ตื่นตอนนาฬิกาปลุกพอดี 5.45 จิบกาแฟ อ่านหนังสือนิดหน่อย อาหารเช้าใช้ได้แต่เติมช้าเหลือ
เกิน 8 โมงเดินทางชมเมืองเวโรน่า เริ่มจากสนามกีฬาโคลอสเซียม ที่นี่เรียก เอรีน่า สวยสมบูรณ์กว่าในโรม
แต่เล็กกว่า ปัจจุบันใช้แสดงดนตรีซะมากกว่า เดินผ่านถนนช้อปปิ้ง ดีที่ยังไม่เปิด ไม่งั้นคงติดอยู่แถว ๆ นี่แหละ เห็นร้านค้ากันไม่ค่อยได้ ให้เวลาเล็กน้อยที่จัตุรัส Elbe มีร้านขายของที่ระลึก ผลไม้ ผักต่าง ๆ แบบ
แผงลอย ดูบ้านของจูเลียต ในละครเรื่องดัง จากนั้นนั่งรถอีก 2 ชั่วเข้ามิลาน ทานอาหารเที่ยง นำชมวิหาร
ดูโอโม ชอปปิ้ง 4 โมงครึ่งเดินทางข้ามพรมแดนเข้าสู้สวิส ถึงโรงแรม 2 ทุ่ม พอดี โรงแรมชื่อเทอร์เรส ตั้ง
อยู่บนเนินเขารถบัสขึ้นไปลำบากเลย ห้องค่อนข้างเก่า พรุ่งนี้ไม่ให้รถขึ้นมารับใกล้ ๆ โรงแรม สงสารรถ กว่าจะกลับลำได้โยกแล้วโยกอีกจนแขนโป่งเลยทานอาหารในโรงแรม บนรถอุตส่าห์บิวส์ศิลปะการทานอาหารแบบตะวันตก แต่เจอแบบบุปเพต์เข้าไป จบข่าวเลย แหมก้อเล่นตั้ง แบบนี้ อาหารเหมือนกัน ใช่ แต่ต้องไปตักเอง หลายอย่างรวมในจานเดียว เฮ้อหมดกัน หลังอาหารชวนเพื่อนลงไปดูที่จอดรถหน่อย พรุ่งนี้เช้าจะได้เดินถูก ผ่านเมืองเงียบมาก ไม่เห็นใครเลย ว่าจะหาร้านบรรยากาศดี ๆ นั่งให้สบายใจเฉิบซะหน่อย สุดท้ายกลับมาที่รัง ก้อโรงแรมแหละ ได้ไวน์ไปหลายแก้ว หลับดีเลย

น้ำตกไรน์ - ลูเซิร์น
เช้านี้ตื่นมาอากาศดีมาก ๆ วิวสวย ประมาณลูกค้าบ่น ๆ เรื่องอาหาร เรื่องห้อง ตอนเช้านี้ลืมกันเป็นปลิดทิ้งเลย ถ่ายรูปไม่ต่ำกว่า ครึ่งชั่วโมง ถ้าไม่เร่ง ไม่ไปใหนแล้วกัน บนยอดเขายังเห็นหิมะปกคลุมอยู่ บอกแล้วมาสวิส ไม่ต้องพูดมาก เค้าขายตัวของเค้าเองได้ หมายถึงภูเขา ทะเลสาบ ทุ่งหญ้าเขียวขจีวิ่งรถไปน้ำตกไรน์ 2 ชม. ช่วงนี้น้ำมากดูอลังการดี แต่อากาศเย็นมาก มาหลายครั้งแล้ว ดูความเรียบร้อยหน่อย แล้วไปรับไออุ่นในร้านกาแฟ ค่อยยังชั่ว จากนั้นไปทานอาหารที่ลูเซิร์น ถ่ายรูปกับ สิงโตหิน แต่กำลังซ่อมแซมนิดหน่อย ดูเผิน ๆ เหมือนเจ้าหน้าที่กำลังแคะขี้ตาให้มันอยู่ สงสัยนอนนานไปหน่อย เลยถ่ายรูปไม่ค่อยสวย บ่าย อิสระ ซื้อของ ถ่ายรูปกับสะพานไม้โบราณ ทานอาหารเย็นเสร็จ กลับโรงแรม

เบิร์น - เจนีวา
วันนี้อากาศดีเหมือนเดิม อาหารเช้าที่นี่ใช้ได้ เติมเร็วดีเวลาหมด ไม่ค่อยดึงอาหารเหมือนยังบางโรงแรม คืนแรกที่นอนมีแต่จีน แต่เช้านี้มีแต่อินเดีย เต็มไปหมด ข่าวว่าคนอินเดีย รวยกันมากขึ้น มาเที่ยวกันเยอะเลย ตอนแรกนึกว่าจะวุ่นเรื่องกระเป๋า เพราะต้องให้ให้ทางโรงแรมส่งลงไปให้ที่รถบัส ปรากฏว่า โอเคไม่ยากอย่างที่คิด เมื่อตอนเช้านับจำนวนกระเป๋าดูน้อยกว่าปกติ เลยลองเช็คทีละใบว่าใครขาด นั่นเจอแล้ว โทรขึ้นไปที่ห้องบอกว่าเอากระเป๋าลงมาด่วนเจ้าหน้าที่เค้าจะขนไปที่รถให้ แต่ปรากฏว่าไม่ทัน น่าสงสารเธอต้องลากกระเป๋าอันหนักอึ่งลงเขา ว่าจะช่วยแต่พอเคลียกุญแจของคณะเรียบร้อย ดูอีกทีหายไปแล้ว แสดงว่าลากไปแล้ว ขึ้นรถได้เน้นอีกครั้ง มีใครลืมอะไรหรือเปล่า ตรวจกันดี ๆ วันนี้กลับแล้ว ไปขึ้นเครื่องที่เจนีวา ถ้าลืมคงจะมาเอายากแล้วล่ะ ไปถึงเบิร์นเมืองหลวงของสวิส เอาตอน 10 โมง แวะดูบ่อหมี ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง รวมถึงให้เข้าห้องน้ำด้วย ให้เวลา 30 นาที เล่นไปซะเกีอบชั่วโมง ก้อวิวเมืองเค้าสวยนี่นา เห็นตรงบ่อหมีกำลังปรับปรุงอยู่ จะทำเป็นสวนหมี ให้เหมือนกับธรรมชาติมากที่สุด โดยมีบางส่วนยื่นลงไปในแม่น้ำ ทำให้หมีได้ลงไปเล่นน้ำ จับปลากินได้ น่าจะอีกสัก 2 ปีเสร็จ แล้วเราจะสามารถชมมันได้ 24 ชั่วโมง ทุกวันนี้ ตกเย็นต้องเอาไปเก็บในกรง กลางคืนไม่มีใครมาดูแล
เกิดมีคนโยนอาหารที่เป็นพิษ ให้มันกินอาจแย่ได้ พาเดินชมเมือนนิดหน่อย ด้วยเวลาที่จำกัด เพราะท่านใช้เวลาจุดอื่นมากไป ที่ต่อไปก็ต้องน้อยลงไป ธรรมดาครับนอน 3 คืน 2 ประเทศ คงไม่สามารถดื่มด่ำกับ สถานที่แต่ละแห่งได้นาน ๆ เที่ยงนี้ทานอาหารฝรั่งอีกมื้อ หลายท่านก้อได้ใช้วิชาที่แนะไป จะว่าไปของแบบนี้เป็นมารยาทในโต๊ะอาหาร เคยเห็นบางคนเอาช้อนของหวานมาเป็นช้อนสำหรับทานซุป ความจริงก้อไม่ผิดหรอก แต่วัฒนธรรมก็คือวัฒนธรรมที่ทำให้มนุษย์มีการ
วิวัฒนาการ ถ้าไม่แคร์ ทำไมอีก ร้อยสิบอย่างกลับ ยอมกันไม่ได้ ไปกันใหญ่แล้วหลังอาหาร เดินทางไปชมปราสาทชิลยอง ริมทะเลสาบเจนีวา ถ่ายรูปด้านนอก วิวไม่เท่าไหร่ เราว่าต้องห่างไปไกล ๆ หน่อยสัก 300 เมตรน่าจะงาม ไปที่เจนีวากันต่อ รถส่งตรงนาฬิกาดอกไม้ พึ่งจะได้ถ่ายรูปหมู่กันที่นี่ ก่อนหน้านั้นรวมกันไม่ติดสักที น้ำพุเจทโด ยังพุ่งสูงเหมือนเดิม พาไปเดินถนนช้อปปิ้งส่งท้าย และให้หาอาหารทานกันด้วย ตอนเย็นไม่ได้จัดเลี้ยง นัด 1 ทุ่มตรง ทุกคนมาตรงเวลาแปะ ไม่น่าเชื่อ (มีขู่นิดหน่อย) ไม่งั้นอาจสายได้ สนามบิน ใกล้ ๆ20 นาทีก้อถึงแล้ว พูดสรุปทัวร์ยังไม่ทันจบเลย เช็คอินเดี่ยว เที่ยวบินนี้ว่างอีกแล้ว โชคดีจริง ๆ ลูกค้าคงจะลืมฝันร้ายตอนขามาได้บ้างแหละเป็นทริปสั้น ๆ ที่ทำง่าย ไม่มีเรื่องหนัก ๆ มาให้แก้ไข เรียบร้อยด้วยดี ทริปหน้า ปารีส 4 คืน แค่หลับตาก้อเห็นภาพหมดแล้ว แล้วเจอกัน

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ทัวร์ออสเตรเลีย ซิดนีย์- แคนเบอร์ร่า

วันเดินทาง 5 - 9 กันยายน 2008


5/9 เตรียมตัวสบาย ๆ ตกเย็นฝนตกชนิดหนักไม่ลืมหูลืมตาเลย น้องเค้าอาสาไปส่ง เราบอกไม่ต้องหรอก ไปแท็กซี่ดีกว่า สุดท้ายด้วยความงกค่ารถ ไปก้อไป ออกจากบ้านมาตอนห้าโมงครึ่ง วิ่งไปได้แค่แถววงแหวน ฝนยังคงตกหนัก และแล้วเหตุการณ์ที่คิดเล่น ๆ ไว้ก้อเป็นจริง รถน้องไปชนท้ายคันหน้า 4 คันรวด ที่คิดเล่น ๆ ก็คือ ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาระหว่างที่ฝนตกจะทำยังไงดี นี่แค่คิดยังเป็นจริงเลย ซวยว่ะลงมาดูที่รถคันหน้า ไม่มีใครเป็นอะไร แค่ยุบกันคนล่ะนิดคนล่ะหน่อย บอกให้โทรหาประกันให้เค้าจัดการแต่เรานี่สิจะทำยังไง ชนกันอยู่ตรงช่องทางด่วนซะด้วย ไม่มีท่าว่ารถแท็กซี่จะผ่านมาเลย เปียกหมดทั้งตัวรถสัก 20 นาที เหมือนสวรรค์มีตา มีรถแท็กซี่ผ่านมาคันหนึ่ง เค้าว่ากำลังจะเข้าบ้าน เลยเรียกไปสนามบิน
สุวรรณภูมิ คนขับรถขอคิดเพิ่ม 50 บาท ปากจะบอกแล้วเชียวว่า ฉวยโอกาสตอนคนไม่มีทางเลือก แต่สมองคิดไวกว่า ถ้าพูดไปอย่าหวังจะมีรถให้เรียกอีก เอาก้อเอา ไปถึงสนามบินลูกค้ายังมาไม่ถึง เข้าห้องน้ำก่อนล่ะ เปลี่ยนชุดใหม่ทั้งหมดเลย ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ลูกค้ามาถึงประมาณ 2 ทุ่ม เอกสารเรียบร้อยแล้ว แจกกันไป โหลดกระเป๋า เป็นอันเรียบร้อย เสร็จ 3 ทุ่มพอดี มีเวลานั่งพักในห้องพักรับรองของการบินไทยตรวจดูเอกสาร ต่างๆ ห้าทุ่มกว่าไปที่ประตูขึ้นเครื่อง คุยกับลูกค้าหน่อย ชุดนี้มาจากสุราษฏธานี ไม่ค่อยได้เดินทางกันเท่าไหร่ ดูจากพลาสปอตร์ใหม่เอี่ยมอ่อง เที่ยวบินนี้ว่างพอสมควรเลยอันเนื่องมาจากสถานะการ์ณ การเมืองของเราเอง นั่งสบายข้าง ๆ ว่าง แบบนี้ชอบมาก ๆ เหยียดแข้งขาได้สบาย บินราว 8 ชั่วโมงครึ่ง
มีอาหารค่ำบริการ เราไม่พลาดตามเคย ได้ไวน์แดงไป 4 แก้ว อันนี้จากการเดินทางบ่อย ๆ เค้าจะเสริฟตามสเตป ไม่ได้ขอเพิ่มอะไร แต่ต้องคอยมองดี ๆ เพราะแอร์บางทีเดินเร็วมาก (คงจะพยายามข้าม ๆ ไปแหละ) ได้ยินเสียง รับไวน์เพิ่มไหมค่ะ แต่ตัวเดินเลยไป 2 แถวแล้ว บางคนไม่กล้าเรียก คงเกรงใจ (ไม่รู้จะเกรงไปทำไม หน้าที่ของเค้าอยู่แล้ว) และแล้วก้อหลับดี

6/9/08 ซิดนีย์
ถึงสนามบินคิงส์ฟอดร์สมิธ ซิดนีย์ ตอนเที่ยงวัน เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย 3 ชั่วโมง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองฉลุย เสบียงก้อผ่านหมดเทคนิคง่าย ๆ ต้องมีภาษาอังกฤษให้อ่านตรงส่วนผสมของอาหาร คราวนี้นำน้ำพริกแม่ประนอม (ลูกค้าบอกว่าเผ็ดมาก แล้วยังถามอีกนะว่าตกลงน้ำพริกหรือพริกป่น) มาม่าต้มยำกุ้ง แนะนำให้เป็นกุ้งทั้งหมดผ่านได้แน่นอน จากสนามบินเข้าเมือง 30 นาที เจอฝนตกตลอดเลย ไปถ่ายรูปที่ แมคแควรี่แชร์ จุดชมวิวริมอ่าวซิดนีย์ เห็นทั้งโอเปร่า และ สะพานฮเบอร์ ได้สวยที่สุด แต่ไม่ใช่วันนี้ ก้อฝนตกซะขนาดนั้น บางคนไม่ลงจากรถด้วยซ้ำ ดูสถานการณ์แล้ว หาที่ร่ม ๆดีกว่า ไปโอเปร่าแล้วกัน ไม่เปียกฝนด้วย ถ้าเดินเป็นนะ จะมีทางเดินชั้นใต้ดิน ให้ 1 ชั่วโมงที่นี่ สบาย ๆ มีเวลาจิบกาแฟ เข้าห้องน้ำห้องท่า 4 โมงเย็นล่องเรือชมอ่าวด้วยเรือกับตันคุก มีบริการชา กาแฟ น้ำเย็น ฟรีครับ โดยการนำตั๋วเรือไปแลก ปกติวิวสวยอยู่แล้ว ฝนตกเลยทำให้บรรยากาศกร่อย ๆ นิด ๆ ใช้เวลาล่อง 1.15 นาที ขึ้นลงที่เดิน ลงจากเรือขึ้นรถ ไปทานอาหารเย็นเลย เพราะลูกค้าดูหิวกันมาก ที่จริงรายการแบบนี้ควรเลี้ยงมื้อเที่ยงด้วยจะดีมาก ไปทานที่ร้านจีนชื่อ Grand china อยู่ตรงมาเก็ตซิตี้ ขึ้นบันไดเลื่อนไป 3 ชั้น อยู่ตรงซ้ายมือ อาหารดีมากจานใหญ่ ทานเสร็จให้ลูกค้าช้อปปิ้งในไชน่าทาวน์ มีร้าน
คนไทยอยู่ 2 ร้าน ชื่อ ไลฟ์สปริง กับ เชอรี่ ก้อซื้อกันพองาม จากนั้นเข้าโรงแรม City gate sebel ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่ เดินมาในเมืองได้สะดวกพอสมควร ห้องพักเห็นกำลังปรับปรุงอยู่ คราวหน้ามาพักน่าจะดูใหม่กว่านี้ เข้าห้องได้พักหน่อย ยัง ๆ ไม่จบง่าย ๆ ถ้ามาเที่ยวกับเรา (เปลี่ยนลุคก์นิดหนึ่งเมื่อก่อนขี้เกียจพาไป หลัง ๆ ทำบ่อย ๆ เริ่มชิน ) หัวหน้ากรุ๊ปให้พาไปให้ถึงออสเตรเลียเลย เราถามว่าไม่เหนื่อยกันเหรอ เพราะว่าคณะนี้มาจากสุราษฏ์ธานี
ก่อนมาก้อต้องบินมากรุงเทพถึงตอนเที่ยง ๆ ให้น้องพาไปเดินเล่นแถวเซ็นทรัล ค่ำ ๆ มาที่สุวรรณภูมิ ทั้งคณะ 52 ท่าน ใช้รถบัสคันเดียว 60 ที่นั่ง เวียนหัวตอนนับคนว่าครบหรือยัง ต้องนับครั้งละ 2 รอบ ไม่อยากให้มีคนตกรถ เดี๋ยวงานจะเข้า เอ้าเข้าเรื่องต่อ จัดไปตามต้องการ พอดีทำการบ้านมาดี แถวโรงแรมมีอยู่ที่หนึ่ง เดินไปได้ สัก 300 เมตร เป็นบ้านแบบตึกแถว ถ้าไม่รู้มาก่อนคงไม่กล้ากดกริ่งเรียกหรอก เข้าไปเค้าให้นั่งรอที่โซฟา สักพักก้อมีผู้สาวเดินมา 4 คน
มีฝรั่งผมทองคน น่ารักมาก มีผิวดำอีกสอง ลูกค้าก้อเกี่ยงกันนิดหนึ่ง ยังไม่มีใครเลือก สักครู่เข้ามาอีก 1 มีลูกค้า โอเค ก้อขึ้นห้องกันไป สนนราคา 30 นาที 180เหรียญออสเตรเลีย ไปคูณเป็นบาทเอาเอง ที่จริงถูกกว่านี้ก้อมี แต่ไปไกล อันนั้นราว ๆ 120 เสร็จกิจ มีคนบอกว่าไปหาอะไรดื่มกัน ได้บาร์แถวถนน พิช บรรยากาศดี เบียร์แก้วละ 4 เหรียญกว่า ๆ ราคาประมาณนี้ทุกที่ เห็นมีเด็กนักเรียนไทยมาเที่ยวกันเยอะเหมือนกัน น่าสงสารคนส่งเสียเนอะ ได้เข้าโรงแรมตอนเที่ยงคืนกว่า ๆ อาบน้ำ แล้วก้อนอน แต่นอนไม่ค่อยหลับ ฮีทเตอร์บ้าอะไรไม่รู้ ตั้งอุหณภูมิ ที่ 28 องศา แต่นอนหนาวโคตร

7/8/09 ซิดนีย์ - แคนเบอร์ร่า
ตื่นมาแบบง่วง ๆ ตอน หกโมงครื่ง จิบกาแฟ ลงไปตอน เจ็ดโมงครึ่ง นัดลูกค้าไว้ 8 โมง อาหารดูดี มีบางคนลงมาก่อนแล้ว ทักทายนิดหน่อยแล้วลุย 9 โมง กระเป๋าขึ้นเรียบร้อย เดินทางไป เคาล่าปาร์ค สวนสัตว์พื้นเมืองที่ดูที่สุดแล้ว ใช้เวลา 1 ชั่วโมงถึง ข้างในเริ่มจากถ่ายรูปกับ วอมเบท อายุ 18 ปีหนัก 34 กิโลกรัม ดูยังไม่ตื่นดี เหมือนเราเลย เห็นเจ้าหน้าที่เรียกไม่ตื่น มันนอนอยู่ในท่อเหล็กโต ๆ แล้วเค้าก้อเทมันออกมา น่าสงสาร แต่ทำไงได้ต้องทำงานเหมือนกันนิใช่ไหม เจ้าหน้าที่สวนสัตว์อุ้มเองแล้วให้นั่งข้าง ๆ ถ่ายรูป ลูปหลังได้ อย่าเล่นหัวเพราะมันจะกัดเอาได้ เสร็จแล้วพาไปถ่ายรูปกับหมีเคาล่า แล้วจิงโจ้มีโชว์ตัดขนแกะตอน 10.30 โชว์เสร็จทานอาหารเที่ยงเลย เพราะช่วงบ่ายเดินทางอีกไกล อาหารในนี้ตั้งเป็นบุปเฟ่ต์ บาร์ บี คิว มีสลัด ข้าว หมู เนื้อ ไก่ แกะ ปลา อร่อยดี ของหวานไอสครีม ชา กาแฟ ตอนทานอยู่มีป้าคนหนึ่ง อายุมากแล้วล่ะน่าจะเป็นแม่ของเจ้าของที่นี่ แกเดินมาพร้อมกับซองขาว ๆ เปิดดูข้างในเป็นรูปถ่ายป้าตอนสาว ๆ มาเที่ยวที่กรุงเทพ สักประมาณ 30 ปี ก่อน ดูในรูปรู้สึกกรุงเทพสมัยนั้น บริสุทธิ์จริง ๆ ทุกวันนี้ของดี ๆ หายหมด หรือไม่ก้อเปลี่ยนแปลง
ไป ผิดกับเมืองฝรั่งเค้าจะให้ความสำคัญกับของเก่า สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เที่ยงตรงออกจากสวนสัตว์ ไปอุทยานแห่งชาติบลูเมาเท่น นั่งรถอีก 1.30 ไปถึงจุดชมวิว หินสามพี่น้อง ตามตำนานเล่าขานของชนเผ่าอะบอริจิน ให้เวลาถ่ายรูป 20 นาที เล่นซะ 1 ชั่วโมง เล่นเอาเราชักจะปล่อยไม่ได้แล้ว จากนั้นไปนั่งรถรางที่ชันที่สุดในโลก สมัยก่อนใช้ลำเลียงถ่านหินจากในหุบเขาขึ้นมาข้างบน แจกตั๋วให้คนล่ะใบ โดยตั๋วต้องเสียบเข้าไปในเครื่องที่กั้นถึงจะเปิด ทั้งเข้าและออก
นั่งรถรางลงไป ใช้เวลาราว ๆ สักนาทีนิด ๆ ถึงในหุบเขา พาเดินเดินชมเหมือนถ่านหินเก่าที่เลิกขุดแล้ว และเส้นทางชมธรรมชาติ ที่นี่จะทำเป็นทางเดินอย่างดีไม่สามารถออกนอกเส้นทางได้ เดินไป 300 เมตร ก้อถึงกระเช้าที่จะนั่งกลับขึ้นไปข้างบน ลำละ 70-80 คนได้ ตอนออกต้องใช้ตั๋วอีกรอบ บ่าย 3 ครึ่งเดินทางเข้ากรุงแคนเบอร์ร่า ช่วงนี้นั่งรถนานมาก 4 ชั่วโมงได้ แวะจอดเข้าห้องน้ำ 1 จอด บนทางหลวง ไปถึง เกือบ 2 ทุ่ม ทานข้าวร้าน 83 ข้างล่างเป็นคลับ (ที่นี่คลับมักจะเป็นที่ ๆมีตู้สลอต เล่นการพนัน แต่ไม่มีแบบลงโต๊ะ) อาหารเป็นบุปเฟ่ มีอาหารทะเลด้วย พวกกุ้ง ปลาหมึก หอย แต่ไม่ใช่แบบตัวใหญ่ ๆ นะ มีลูกค้าเกิดตรงกับวันนี้ เซอร์ไพ้ร์ ด้วยการให้เค้กวันเกิด ที่โทรสั่งให้ร้านอาหารช่วยซื้อให้ ก้อมีความสุขกันทั่วหน้า ทานเสร็จ กลับโรงแรม พักที่ Rydges lakeside โรงแรมดี แต่ตอนขึ้นลิตฟ์ต้องการ์ดห้องเสียบถึงจะขึ้นได้ ตอนลงไม่ต้อง เมืองนี้เงียบมาก ๆ กลางคืนที่เที่ยวแทบไม่มีเลย มีที่เดียวคือคราวน์คาสิโน บางคนก้อเล่น บางคนนั่งดื่ม ส่วนเราจิบไวน์ดีกว่า ดีที่ไม่มีแบบเครื่องหยอดเหรียญ เสียเงินน้อยหน่อย ปกติจะชอบหยอดมาก ๆ แต่ไม่งมงายนะ กลับถึงห้อง
เที่ยงคืนพอดี ไม่อาบน้ำแล้วนอนดีกว่า ใช้แบบฝรั่ง 3-4 วันอาบที

8/09/08 แคนเบอร์ร่า - ซิดนีย์
วันนี้โปรแกรมแน่นอยู่เหมือนกัน เพราะคณะนัดพบท่านทูตที่สถานทูตไทยไว้ตอน 16.30 น. เช้านั่งรถทัวร์ย่านสถานทูต เมืองนี้ผังเมืองดีมากแยกสถานที่ราชการเละที่พักอาศัย ป็นโซน ๆ ไป จอดถ่ายรูปหน้าสถานทูตไทย อันที่จริงประวิงเวลาหน่อย เพราะอาคารรัฐสภาเปิดตอน 9 โมงเช้า แต่ล่ะที่อยู่ใกล้ ๆ กัน นั่งรถ ห้านาที สิบนาทีถึง รัฐสภาที่นี่เปิดให้เข้าไปชมข้างในได้ รถจอดชั้นใต้ดิน เดินขึ้นมา 1 ชั้น ทางเข้าผ่านเอ็กซเรย์ รักษาความปลอดภัย ในห้องโถง เป็น
เสาหินอ่อน ลายแบบต้นยูคาลิป ไม่รู้ไปหามาจากใหนเนี่ย แล้วก้อพาไปชมห้องประชุมสภา และวุฒิสมาชิก ให้เวลาที่นี่ 1 ชั่วโมง แล้วไปอนุสรณ์สถานสงครามซึ่งทำเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย มีรายชื่อทหารที่เสียชีวิตในสงครามที่ผ่าน ๆ มา ตรงชื่อเนี่ย ไปดูใกล้จะมีดอกปอปปี้เสียบไว้ด้วย คงเป็นญาติหรือเพื่อนให้ไว้แหละมีดวงไฟที่ไม่มีวันดับ และในโดมมีที่ฝังศพของทหารนิรนาม มีเสา 4 ต้น แทนความหมาย อากาศ น้ำ ดิน โลก รอบ ๆ และชั้นใต้ดิน มีพิพิธภัณฑ์ พวกเครื่องบิน รถ อาวุธต่าง ๆ น่าดู แล้วไปทานข้าวร้านจีน ตอนบ่ายพาไป aus exibition center เล่าเรื่องราวการสร้างกรุงแคนเบอร์ร่า มีแผนภูมิจำลองของเมืองให้ดูด้วย ติดกันตรงทะเลสาบมีน้ำพุกับตันคุก สูง 110 เมตร (ถ้าจำไม่ผิดนะ) แล้วให้ช้อปปิ้งที่ แคนเบอร์ร่าสแควร์ มีห้างเดวิดโจน เจ้าของครีมยี่ห้อดัง ตอนนี้ไปดูครีมเปลี่ยนรูปแบบของกระปุกใหม่หมดเลย น้ำหนักเมือก่อน 500 กรัม เดี๋ยวนี้ 425 กรัม แถมราคายังขึ้นมาอีก เป็น 15 เหรียญ กว่า ๆ ของที่นี่ก้อไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่ ไม่ได้ของอะไรเลย 4 โมงเดินทางไปสถานทูตไทย ไปนั่งในห้องประชุมกันเค้าด้วย ท่านก้อคุยดี คุนสนุกไปเรื่อย ๆ จากที่จองร้านอาหารไว้ห้าโมงครึ่ง ต้องรีบเพราะต้องกลับไปนอนซิดนีย์ ห้าโมงครึ่งก้อแล้ว หกโมงก้อแล้ว ไม่มีท่าว่าจะจบ จะซักถามอะไรมากมาย กว่าจะจบเกีอบหกโมงครึ่ง ร้านก้อโทรมาเร่งเราอีก บอกว่าอาหารขึ้นโต๊ะแล้วนะ ไปถึงยังไม่เห็นมีอะไรบนโต๊ะเลย มื้อนี้อาหารไทยด้วย ว่าไม่ได้เพราะเราเปลี่ยนเวลามาหลายรอบ ตั้งแต่ตอนว่าจะเข้าซิดนีย์ให้เร็ว ทานก่อนไปพบทูตได้ไหม จะบ้าตายกินข้าวเย็นตอนบ่ายสามครึ่งเนี่ยนะ ตอนหลังเปลี่ยนอีกไม่เอาจะกินตามเดิม ก้อต้องโทรไปขอโทษ ขอเป็น 5 โมงครึ่ง ไปช้าอีกต่างหาก ดีนะเป็นวันธรรมดา ถ้าเป็นศุกร์ เสาร์ ลูกค้าเยอะจะมีปัญหาแน่ ๆ วันนี้ไปถึงซิดนีย์ 4 ทุ่มครึ่ง ถือว่าเร็ว พักโรงแรมเดิม
แต่ยังไม่ได้พักหรอก พาไปคิงส์ครอสย่านเริงรมย์เหมือนพัฒพงศ์ บ้านเราแต่เล็กกว่า เข้าไปดูโชว์ จ่ายไปคนละ 10 เหรียญ ไม่รวมเครื่องดื่ม โชว์ก้องั้น ๆออกมาหาอะไรดื่มรอ คือนี้ถึงห้องเที่ยงคืนครึ่ง เฮ้อง่วง นอนดีกว่า

9/09/08 ซิดนี่ย์ - กรุงเทพ
มีรายการเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ดาลิ่งฮาเบอร์ วิธีเดินชมที่นี่ ให้เดินตามลูกศรสีขาวที่อยู่ตรงพื้น จะมีจุดที่แยกออกไป ก็คือแมวน้ำ กับ ปลาฉลาม เสร็จแล้วไปไชน่าทาวน์ มีเวลาให้ซื้อของเพิ่มเติม ทานข้าวเที่ยง เที่ยงครึ่งเดินทางไปสนามบิน การบินไทยเช็คอิน เคาร์เตอร์ K สุดท้ายของอาคารเลย
ถ้ามีภาษีต้องทำ (เมื่อซื้อถึง 300 เหรียญ)ลงไปชั้นล่าง เช็คอินแบบเดี่ยว สนามบินนี้ไม่มีที่สูบบุหรี่ด้านใน สร้างความอึดอัดให้คนในคณะบางคนพอควรเลยเครื่องว่างพอสมควร เราได้นั่งแถวท้ายสุด คนเดียวสามเบาะ มีความสุขที่สุดเวลานั่งเครื่องแล้วเจอแบบนี้ หลังอาหารก้อหลับยาวเลย มาถึงกรุงเทพ สี่ทุ่มกว่าส่งลูกค้าที่โรงแรมมารวย นั่งคุยแป๊ปหนึ่ง ถึงบ้านตีสองกว่า เป็นทริปที่ลูกทัวร์น่ารักอีกทริป แม้จะถามบ่อยแบบว่า ไปใหนต่อ ทั้ง ๆ ที่ประกาศบนรถแล้ว

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

ทัวร์ญี่ปุ่น ทริปแรก

ญี่ปุ่นกับการไปเยือนครั้งแรก
วันเดินทาง 23/8/08 - 29/8/08 กับคณะดูงานของหน่วยงานราชการ โดย บ.Worldwide Destinations Tour
บริษัทนัดลูกค้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนห้าทุ่ม เราก้อไปถึงก่อนเวลาประมาณสื่ทุ่ม ตามหน้าที่
ไปถึงพี่ที่บริษัทมารอส่งคณะแล้ว ผู้เดินทาง 15 ท่าน กำลังพอดี ไม่วุ่นเท่าไหร่ คนส่งทัวร์เป็นงานดี
ช่วยได้เยอะ ประมาณห้าทุ่มเช็คอินเรียบร้อยพร้อมเอกสาร พอดีมี บิสเนสคลาส 5 คน เลยเจมกับเขา
เข้าตรวจหนังสือเดินทาง ตรงเช็คอิน B เร็วดีไม่ต้องต่อคิวตรวจพลาสปอร์ตนาน ๆ เดินทางด้วยสายการบิน
ไทย เรามีบัตรทอง เลยพาลูกค้าท่านหนึ่งเข้าไปนั่งพักในห้องรับรองของการบินไทยได้ แต่เราไม่ได้นั่งด้วย
หรอก ขอเป็นส่วนตัวนิดหนึ่ง จะไปนั่งคิงส์เพาเวอร์แทน เงียบดีแล้วมีห้องสูบบุหรี่ด้วย (ไม่ดีเนอะ)
เครื่องออกเกือบตีหนึ่ง กำลังง่วงเลย ขึ้นไปก้อยังไม่หลับ อ่านหนังสือจิบไวน์นิดหน่อย กว่าจะหลับก้อเกือบ
ตีสี่แล้ว ได้สักชั่วโมงแอร์ปลุกทานอาหารเช้า ไม่อยากเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะไม่มีแรงทำงาน ง่วงก้อง่วง เอาวะ ใช้เวลาบิน ห้าชั่วโมง ไปถึงฟุคะโอกะ เวลา 08.00 น. (ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยเรา 2 ชั่วโมง)
ตรวจคนเข้าเมืองก้อไม่ยากอะไร เจ้าหน้าที่ ตม. มีสักถามนิดหน่อย ลูกค้าผ่านไปได้ด้วยดี ของเรา
เค้าถามว่ามาทำอะไร ก้อบอกไปว่าเป็น หัวหน้าทัวร์ แล้วเจ้าหน้าที่ดูในใบเข้าเมือง แล้วบอกว่างั้นช่อง
ที่ให้เลือกว่ามาทำอะไร อาทิเช่น ท่องเที่ยว ธุรกิจ ทำงาน อะไรประมาณนี้ ต้องเลือกช่องธุรกิจ เราก้อเถียง
ว่าที่ญี่ปุ่นมีไกด์อยู่แล้ว จะมาทำธุรกิจได้ยังไง ใครจะมาจ่ายตังค์เรา แต่ดูท่าว่า ถ้าพูดเยอะไปไม่ดีแน่ เลยหยวน ๆ เอ้ามาแบบธุรกิจก้อธุรกิจ อธิบายมากดูจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษมากสักเท่าไหร่ หลังจากรับกระเป๋า
เรียบร้อย ไม่มีใบใหนแตกหักเสียหาย คณะพร้อมแล้วออกมาด้านนอก ไกด์ที่พาทัวร์รออยู่ก่อนแล้ว ชื่อคุณจรัญ เป็นคนไทยได้สัญชาติแล้ว แต่เค้าก้อมีชื่อญี่ปุ่นนะ ได้รถบัส คันโต 50 ที่นั่ง แหม แตะตะก้อได้เลยนะเนี่ย ขึ้นรถไปจับไมด์กล่าวต้อนรับพร้อมกับแนะนำตัวเอง แนะนำไกด์ แล้วไกด์พูก้อพูดไปโลด (สบายเราแล้ว)
ใช้เวลา ราว ๆ 45 นาที ถึงสถานที่เที่ยวแห่งแรกของรายการทัวร์ ศาลเจ้าดาไซฟุ นอกเมืองฟุกุโอกะ ที่จอดรถบัส มีร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่ เห็นไกด์บอกว่าไอสครีมอร่อย แต่ไม่ได้ลอง มีห้องน้ำสะอาดเรียบร้อย ในญี่ปุ่นห้องน้ำฟรีทุกที่ จากนั้นก้อเดินตรงเข้าวัด จากจุดจอดรถ สักประมาณ 300 เมตร สองข้าง
มีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายขนมโมจิญี่ปุ่นแท้ ทำร้อน ๆ น่าอร่อย ศาลเจ้าแบบนิกายเซ็น วัดในนิกายนี้
ไม่สลับซับซ้อนเท่าไหร่ เน้นเรียบง่าย ถึงเขตวัด ซ้ายมือจะเห็นศาลาทำจากไม้ แบบโล่ง ๆ ไว้เวลามีพิธีจะวางเครื่องเซ่น หรือ กระดาษที่เขียบคำอธิฐานไว้ สมัยก่อนก้อจะเอาไปเผาเลย แต่วันนี้ที่เห็นเป็นที่นั่งพัก
ของผู้คน มีละครลิงเร่ คนญี่ปุ่นนะ กับลิง 1 ตัว (ไม่ใช่ปังคุงนะ) คนดูเต็มเลย แอบแวบไปดูหน่อยหนึ่ง แต่ไม่
รู้เรื่อง ก้อภาษาญี่ปุ่นนิ ไปต่อกันดีกว่า ก่อนถึงศาลเจ้าหลัก ขวามือจะมีบ่อน้ำ แบบก่อขึ้นมา ไว้ให้ผู้ที่จะเข้าวัด ได้ล้างมือและล้างปาก ก่อน นัยว่าทำตัวให้บริสุทธิ์ จะมีแบบนี้ทุกวัด น้ำเขาสะอาดใส เข้าไปในศาล
วิธีการไห้วพระ ที่นี่ไม่เห็นมีใครจุดธูปกันเลย ตามอย่างกันไปแล้วกัน เริ่มจาก โค้งคำนับ 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง พนมมือไหว้ขอพรกันไป อยากได้อะไรขอไป ทำบุญ 1 เยน ขอให้ถูกหวยเป็นล้าน ก้อว่ากันไป จบด้วย
โค้งคำนับอีก 1 เป็นอันเรียบร้อย คนญี่ปุ่น นิยมซื้อป้ายอวยพร ทำจากไม้ แล้วนำไปแขวนไว้ตามราวที่วัดจัด
ไว้ให้ หรือเซียมซีเป็นกระดาษ อ่านแล้วจะดีไม่ดี เค้าจะเอาไปผูก ในที่ ๆ วัดจัดไว้ให้เช่นกัน เสร็จแล้วเดินไป
หลังวัดจะมีต้นพลัม น่าจะเป็นบ๊วยเนอะ ราว ๆ 6000 ต้น มีห้องน้ำด้านหลังวัดด้วย จากนั้นนัดลูกค้าเจอ
ที่รถ ให้เวลาช้อปกันสักหน่อย ส่วนเราไปซื้อโมจิอบใหม่จากเตาร้อน ๆ ราคา ลูกละ 100 เยน ซื้อแจกคณะพอดี ๆ กลัวจะหิวกัน แต่ลืมเผื่อตัวเอง เกือบ 11 โมง เดินทางไปเมืองสปาน้ำแร่ เบปปุ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะคิวชู ใช้เวลา
เดินทางบนทางด่วน เกือบ ๆ 2 ชั่วโมง รถทัวร์วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 100 ต่อชั่วโมง ก่อนถึงเมืองเบปปุ เริ่มได้กลิ่นกำมะถัน คุณจรัญก้อถามคำถามข้อหนึ่ง ให้คณะทายกัน คือช่วงที่ยังอยู่บนทางด่วน จะมีตะแกรงเหล็กครอปถนนในช่วงนั้น ยาวสัก 500 เมตรกระมัง (คำตอบ ตรงนั้นเป็นสนามกอล์ฟ) ถึงร้านอาหารก้อราวเที่ยงครึ่งกว่า ๆ
มื้อนี้แบบบาบีคิว ปิ้งย่าง เป็นบุปเพ่ต์ มีเนื้อหมู วัว ไก่ ปลาหมึก ลูกชิ้น ซุป ข้าวปั้น ของหวาน ไอสครีม อร่อย อิ่มแล้วให้เดินช้อปในห้างใกล้ ๆ ร้านอาหาร จากนั้นเดินทางไปบ่อน้ำแร่จิโคกุ 20 นาที ลงจากรถ
เดินตรงไปอย่างเดียว มีร้านขายของใหญ่ ผ่าทะลุไปโลด จะเจอบ่อน้ำแร่เดือด สีฟ้า ๆ น่าว่าย (อาจสุกได้ผู้ปกครองควรพิจารณา) ขวามือจะเห็นเสาโทริอิ สีแดง หมายความว่ามีศาลเจ้าอยู่นะสิ แต่เล็กมาก ไหว้เพื่อให้กิจการค้าเจริญก้าวหน้า เหมาะกับเจ้าของกิจการ การไหว้เหมือนกัน มีบ่อน้ำล้างมือ บ้วนปากเช่นกัน แล้วย้อมกลับทางเดิม ผ่านร้านขายของใหญ่ออกมาเลี้ยวขวาขึ้นเนินไปนิด จะเจอบ่อน้ำแร่สีแดง เลี้ยวซ้าย ไปสัก 20 เมตร มีมีทางเข้าไปศาลาแช่เท้า มีคนแช่อยู่ก่อนแล้ว ฟรีครับ แต่ผ้าเช็ดเท้าต้องหยอดตู้เอา 200 เยน กลับออกมาทางเดิม ขึ้นรถกลับโรงแรม พักที่ Beppuwan Royay Hotel โรงแรมใหญ่ดี ติดทะเล
แต่เล่นน้ำไม่ได้ มีบ่อน้ำแร่ให้แช่อยู่ชั้นใต้ดิน แยกชายหญิง แต่ต้องเปลือยหมดนะ ห้ามนุ่งอะไรเลย คิดซะว่าถือคติแบบเสียส่วนน้อย ได้ดูส่วนใหญ่ สบายใจ สภาพห้องก้อใหญ่ใช้ได้ ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลย โรงแรมในญี่ปุ่น จะไม่มีน้ำฟรีให้ในห้อง น้ำก๊อกสะอาดดื่มได้ 100 % มีกาน้ำร้อนให้ พร้อมชาเขียว ถ้าอยากได้เครื่องดื่มอย่างอื่น ไปหยอดเอาในตู้ ชั้นใต้ดิน ตรงที่อาบน้ำแร่ ราคาประมาณ 130 เยน ชาเขียวแบบขวดเหมือนพวกโออิชิบ้านเรา แต่ไม่ใส่น้ำตาลญี่ปุ่นไม่ชอบ.... อาหารเย็นทานในโรงแรมแบบเป็นเซ็ท คณะดูไม่ชอบเท่าไหร่ อาจเป็นว่าเราคนไทย ติดกับภาพว่ากับข้าวต้องวางเต็มโต๊ ดูดี ซึ่งวัฒนธรรมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ( When in Rome do as the roman do) ทานเสร็จ ท่าน ๆ ทั้งหลายก้อนั่งดื่มเบียร์ตรงล๊อปบี้ ชั้นนั้น
มีซุปเปอร์ขายของอยู่ ส่วนข้าพเจ้าเพลียเหลือเกิน ซึ่งถ้าเป็นไฟล์ดึก บินสั้นแบบนี้ ง่วงไปยันวันกลับเลย
หลับได้แต่ไม่ลึกเท่าไหร่

25/8/08 เบปุ - คิตะคิวชู - ฟุคุโอกะ
ตื่นมาตอนตีห้าครึ่ง ต้มน้ำจิบกาแฟ ดูวิวทะเลสวย ๆ จากหน้าต่าง ( อันนี้สร้างภาพมาทำงานคงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนั้น ) อาจหนังสือเพิ่มเติมนิดหน่อย ห้องอาหารเปิด 7 โมง ลงมาก่อนเวลาหน่อย
ทักทายคณะยกมือไหว้สวัสดี อาหารเช้าใช้ได้ไม่ถึงกับดี แบบฝรั่งปนญี่ปุ่น ใช้เวลาทานอาหารเช้าไม่เกิน 10 นาที เพราะต้องรีบไปเก็บรวบรวมกระเป๋าเดินทาง ที่วางกันไว้หน้าห้อง ออกกำลังกายแต่เช้า ได้เหนื่อยเหมือนกัน (ทำไมญี่ปุ่นถึงไม่ใช้พนักงานยกกระเป๋ากัน เหมือนเกาหลีเลย) บ่นหน่อยนะ เป็นบริการอย่างนึง คณะพร้อมเดินทางกันตอน 8 โมง คณะนี้ค่อนข้างตรงเวลามาก ๆ ขอชม
ขึ้นรถก้อเตือนตามปกติ พลาสปอตร์โต้ สร้อยคอสร้อยพระ แหวน นาฟิกา ที่ชาร์ท ตุ้มหู ว่ากันไป ใช้เวลาเดินทางราว 1.45 นาที ไปถึงเมืองคิตะคิวชู ทางเหนือของเกาะ นัดที่ดูงานไว้ตอน 10 โมง ไปถึง มีเวลานิดหน่อย เข้าห้องน้ำกัน เจ้าหน้าที่มารออยู่แล้ว คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเวลามาก เจ้าหน้าที่
พาเดินชมในสถานีรถไฟ รถไฟโมโนเรล โครงการคอมเพล็ก ต่าง ๆ เกี่ยวกันการขนส่ง แหมแต่เจ้าหน้าที่เดิน
เร็วมาก ๆ คงเป็นปกติของเค้าแหละ แต่ของเราสิไม่ปกติ ค่อย ๆ เดิน กลัวเสียเหงื่อหรือเปล่า ช่วงนี้อากาศร้อนด้วยสิ ดูเสร็จประมาณเที่ยง
มื้อเที่ยงทางไกด์ไม่ได้จอง เพราะโปรแกรมไม่นิ่งเท่าไหร่ ทางคณะไปเจอร้านอาหารจีนมีติ่มซัม
ด้วย เลยฝากท้องไว้กับที่นี่เป็นแบบ บุฟเฟ่ ราคาราว ๆ 1500 เยน ต่อท่าน แต่แหมผู้ใหญ่กับไม่ชอบแฮะ
หลังจากนั้นนั่งรถอีก 1 ชั่วโมง ไปเมืองฟุกุโอกะ ดูงานที่สถานีฮากาตะ ดูเสร็จไปชมวิวเมืองฟุค ที่ฟุคุโอกะทาวเวอร์ ตัวตึกเป็นโครงเหล็ก แล้วเอากระจกหุ้มอีกที ทำให้ดูสวยอีกแบบ ขึ้นไปในลิตฟ์มีเจ้าหน้าที่สาวน่ารัก ต้อนรับ ยิ้มแย้มดี วิวข้างบน ไม่มีอะไรพิเศษ ด้านหนึ่งทะเล อีกด้านเมือง หรือเราจะเห็นสวย ๆ มาเยอะก้อไม่รู้ แล้วพาคณะไปช้อปที่ห้างคะแนลซิตี้ เป็นมอลล์ใหญ่เหมือนกัน มี Muji แล้วอื่น ๆ เราไม่
ค่อยได้เดินหรอกมัวแต่หาร้านอาหารเย็นกับพี่จรัญ (เรียกพื่ เริ่มสนิทแล้ว) โจทย์คณะนี้ไม่ทานร้านอาหารที่ทัวร์ปกติลงกัน สรุปได้เป็นอาหารญี่ปุ่น สั่งเป็นชุดเหมือนกัน คณะรู้สึกดีได้เลือกเมนูด้วยตัวเอง แต่ก็คืออาหารเซ็ทแหละ แบบคนล่ะชุดนะ ส่วนของเราไกด์ก้อสั่งมาหลายอย่างเหมือนกัน ช่วงที่เรานั่งรอกับข้าวเต็มโต๊ะเลย พี่จรัญยังไม่มา ไอ้โต๊ะข้าง ๆ เราน่าจะเป็นเกาหลี เค้าก้อมองแบบยิ้ม ๆ แล้วก้อหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายอาหารโต๊ะเรา (ไม่รู้ว่าน่ากิน หรือ มันจะกินหมดไหนเนี่ย) สรุปสุดท้ายหมดครับพี่น้อง ก้อหิวมากนี่นาหลังอาหารก่อนขึ้นรถ แวะซื้อน้ำมาแจกให้ทุกคนไปดื่มกันในห้องพัก ในญี่ปุ่นร้านสะดวกซื้อมีเยอะมาก เจอได้ตลอด เช่น Lawson , 7 , Ampm , Family mark (สะกดถูกใหม) เปิด 24 ชั่วโมง
วันนี้พักที่ Hyatt Regency Fukuoka Hotel โรงแรมดี แต่ห้องไม่ใหญ่เท่าไหร่ อาจเพราะอยู่กลางเมือง
คืนนี้คณะบางท่านอยากไปท่องราตรีกัน แบบประมาณว่าอยากถึงญี่ปุ่น เลยต้องล็อคตัวพี่จรัญไว้ คอยเจรจา
ไปย่าน Nakasu กลางเมือง ดูจากแผนที่เป็นเกาะเล็ก ๆ กลางแม่น้ำ นั่งแท็กซี่ ไป เดินถามอยู่หลายร้าน ส่วนใหญ่ไม่รับคนต่างชาติ จนมาได้ร้านหนึ่ง เค้ารับคนต่างชาติ เข้าไปข้างในพาไปนั่งในห้องแล้วก้อคุยกัน ไม่มีการดูตัว หรืออาจมีรูปให้ดู ซึ่งก้อไม่เหมือนตัวจริงหรอก มี 2 ท่านในคณะโอ เค ลองดู งานนี้เจ้าภาพจ่ายไปคนละ สองหมื่นเยน มีเวลาให้ 1.30 ชม. คนอื่น ๆ ไปเดินเล่นรอบ ๆ รอลุ้นกันว่าลงมาแล้วถ้าดี ก้อจะด้วย ครบชั่วโมงมารับ ผลสรุปว่า หุ่นเหมือนซูโม่ อายุเยอะ เห็นแล้วไม่สู้อีกต่างหาก จะออกมาก่อนก้อไม่ยอม ยังไม่ครบชั่วโมง (เฮ้อ นรก หรือ สวรรค์เนี่ย ) เลยกลับโรงแรม กว่าจะได้นอน ตี 1

26/8/08 นาโกย่า - คาวากูจิโกะ
ตื่นมาแบบยังง่วง ๆ อยู่เลย ลงมาดูคณะ เก็บกระเป๋าตามห้อง 8 โมง ออกเดินทางไปสนามบิน
ฟุกุโอกะ ใชเวลาแค่ 20 นาทีถึงสนามบิน พี่จรัญ ไปเช็คอินตั๋ว แจกบอร์ดดิ่งพลาส แล้วให้คณะโหลดกระเป๋าด้วยตัวเอง บินในประเทศบอร์ดดิ่ง ไม่มีชื่อมีแต่ที่นั่ง น้ำเอาขึ้นเครื่องได้ บินด้วยออลนิปปอน แอร์เวย์
ในสนามบินมีร้านค้านิดหน่อยไม่เยอะ ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง ถึงเมืองนาโกยา ไปถึง นั่งรถ 45 นาที เพื่อไป
ถ่ายรูปปราสาทนาโกย่า จากด้านนอก ไม่งามเลย ต้นไม้บังปราสาทไป 3 ชั้นแล้วเห็นแต่ยอด ๆ เสียดาย ไม่ได้เข้าไปข้างใน จากนั้นไปทานอาหารกลางวัน แบบบาร์บีคิว เป็นบุปเพ่ต์ เห็นทานกันอร่อยดี มื้อนี้ ทำแจ่ว ให้ได้จิ้มกัน (สูตร น้ำปลา ข้าวคั่ว มะนาว พริกป่น ) ช่วงบ่ายเดินทางไกล จากนาโกย่า ไปถึงคาวากูจิโกะ 260 กม. วิ่งไปได้ ชม.ครึ่งจอดพักระหว่าง ซึ่งอยู่บนจุดพักรถบนทางด่วน เห็นทะเลสาบฮามานะ ที่มีการ
เพาะเลี้ยงปลาไหลมากที่สุด จะมีขนม พาย ก้างปลาไหลทอด ล้วนเกี่ยวกับปลาไหลทั้งนั้น นั้งรถอีกเกือบ 2 ชั่วโมง จึงถึงทะเลสาบคาวากูชิโกะ จอดแวะที่ซุปเปอร์ใหญ่ให้ได้ซื้อของกัน เห็นไกด์ว่าฝั่งตรงข้ามขายของใช้แล้ว เสียดายไม่มีโอกาสข้ามไปดู เค้าว่ากันว่าคนญี่ปุ่นถ้าของใหนไม่ใช้แล้วก้อทิ้งหรือขาย เพราะบ้านมีเนื้อที่ไม่มากพอที่จะเก็บของทุกสิ่งอย่าง ส่วนเราซื้อข้าวห่อสาหร่าย ไปเสริมมื้อค่ำที่โรงแรม กับน้ำดื่มที่ต้องแจกเป็นประจำทุกวัน พักที่ Kawaguchiko Koryu Hotel
ถึงโรงแรมคณะต่างช่วยกันนำกระเป๋าของตนเองขึ้นห้อง ขอบคุณครับ ทานอาหารค่ำในโรงแรม
แบบนั่งพื้น ได้บรรยากาศอีกแบบ ลูกค้าใส่ชุดยูคาตะ มาทุกคน มีเราคนเดียวยังชุดเดิมอยู่เลย มีคนถามเหมือนกัน เราบอกเข้าห้องได้ วางกระเป๋าแล้วลงมาเลย ไม่ทันได้ทำอะไร มีวันเกินในคณะด้วย ให้โรงแรมเตรียมเค้กแล้วละ เห็นขนาดน่าจะสัก 2 ปอนด์ จ่ายไป 4200 เยน ส่วนเราชงสุราให้ท่าน ๆ ว่าไป
เรื่องนี้ถนัดอยู่แล้ว ทานไปถึง 3 ทุ่มครึ่งกว่า ๆ จึงย้ายมานั้งดื่มต่อที่ล็อปบี้ คราวนี้ให้ชงกันเองง่ายกว่า บางท่านก้อไปแช่น้ำแร่กัน โรงแรมไม่ใหญ่มาก มีเครื่องเกมหยอดเหรียญ มีอินเตอร์เนส เล่นฟรี แต่มีแค่เครื่องเดียว มีบ่อน้ำแร่ ที่นอนปูกับพื้น เรียกว่า เรียวกัง แบบญี่ปุ่น หน้าโรงแรมติดทะเลสาปมีถนนคั้น ไปเดินสำรวจมาครึ่งรอบ ลักษณะโรงแรมพอ ๆ กัน บางที่อาจจะใหญ่หน่อย ตอนดึกไม่มีคนเลย ไม่มีร้านค้า บรรยากาศเงียบกริป เหมาะกับการพักผ่อนจริง ๆ เพราะไปใหนไม่ได้ วันนี้ได้นอนตอน 5 ทุ่มกว่า ๆ
27/8/08 ฟูจิ - โตเกียว
ตื่นเช้ามาด้วยความง่วง (เป็นประจำทุกวัน สะสมมาบนเครื่องแต่วันเดินทางแล้ว) อาหารเช้าทำ
เป็นชุด มีไข่ดาว ข้าว ผักดอง ซุป ดีนะที่เตรียมมาม่ามาหน่อยหนึ่ง แล้วก้อกาแฟซอง ช่วยได้เยอะเลย
แล้วไปเก็บกระเป๋าของคณะ 08.00 น. ออกเดินทางไปชมภูเขาไฟฟูจิ จากโรงแรมอีกเกือบ ๆ ชั่วโมง ถนนสองเลน คดเคี้ยวไต่ภูเขาขึ้นไป ไม่ชันมาก พอได้อยู่ ไปถึงเห็นคนอยู่เต็มลานกว้างใกล้ที่จอดรถเต็มไปหมด สอบถามได้ความว่าขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน คงต้องเดินขึ้นแต่ตี 1-2 กันเลยล่ะมีแต่วัยรุ่นทั้งนั้น ประมาณภูกระดึกบ้านเราแหละ ครั้นหนึ่งในชีวิตควรจะขึ้นไป ตอนสมัยเรียนลงรถพาคณะไปร้านค้าที่มีห้องน้ำ เป็นทางเข้าไปศาลเจ้าที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งถ้าจะดูวิวภูเขาไฟ ต้องเข้าไปถ่ายจากในศาลเจ้า โอพระแม่เจ้า ฟูจิทำไมมันสวยยังงี้ (จิตนาการ) ไม่เห็นอะไรเลย ฟ้าปิด มีแต่เมฆหมอก แต่เราดูพยากรณ์อากาศมาก่อนแล้ว ว่าอากาศไม่ดี บอกลูกค้าให้ทำใจแต่เนิ่น ๆ แล้วก้อเป็นอย่างที่ว่า จากนั้นนั่งรถอีก 2 ชั่วโมง ไปโยโกฮาม่า ชมพิพิธภัณฑ์ราเมน ทานราเมนชั้นใต้ดิน ของที่นี่ ลึกไปอีก 2 ชั้น ชอบร้านใหน ดูรูป หยอดเหรียญ เอาคูปองให้ รอคิว แล้วจะได้ทานราเมนแสนอร่อย ชามใหญ่ ๆ น้ำซุปกลมกล่อม
จากร้านเดิน 10 นาที ไปสถานีรถไฟ นั่งซินคังเซ็นเข้าโตเกียว 2 สถานี ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ส่วนรถทัวร์ให้ไปก่อนแล้ว ถึงโตเกียวไปดูงาน แล้วไปช้อปที่ย่านชินจูกุ ย่านนี้น่าช้อปมากร้านเยอะ
ของเยอะ อาหารเย็นเป็นเนื้อโกเบ แต่พี่จรัญบอกว่า ตอนนี้ราคาปรับใหม่ แพงกว่าเดิม หากอยากได้โกเบแท้ๆ ต้องจ่ายเพิ่มอีก อาหารลงเป็นชุด แต่เติมได้ทุกอย่าง รู้สึกคณะจะชอบ อร่อย กินมันส์ดี แต่เราไม่ได้กินอะไรเลย สงสัยจะแพงพี่จรัญอาจแกล้ง ๆ ลืมหรือเปล่า แต่ไม่ว่าไรหรอก พี่เค้าก้อทำงานให้เราเต็มที่บางคนมีเพื่อนพาเที่ยวต่อก้อเชิญ ส่วนที่เหลือกลับโรงแรม Metropolitan Hotel เช็คอินเรียบร้อย ขึ้นห้องสถานการณ์เงียบสงบ แต่ไม่สงัด ดันได้ห้องเป็นเตียงใหญ่ห้องหนึ่ง จัดให้ผู้หญิงนอนสองคน บอกนอนไม่ได้เตียงเล็กไป แต่เราก้อว่างั้นแหละ ตัวใช่เล็ก ๆ กันเลย ให้พี่จรัญเปลี่ยนให้ ผลออกมาห้องเต็ม เสริมเตียง ก้อไม่ได้ เอาวะแก้ปัญหาไปก่อน เปลี่ยนเอาห้องของคนที่ไปเที่ยวกับเพื่อนให้ไปก่อน จะได้มีเวลาคิด เลยมาลงที่อัฟเกรด ห้องเป็นดีลักซ์ 2 คืนจ่ายไป 4600 เยน ไม่แพง รอดไปเรา คนที่ถูกเปลี่ยนก้อโชคดีไปนอนชั้น 21 วิวสวยมาก ๆ เรียบร้อยออกไปหาอะไรกินดีกว่า ได้เค้กร้านอร่อยมาชิ้น เบอร์เกอร์ชิ้น มาทานบนห้อง โชคดีจริง จะกลับเข้าโรงแรมอยู่แล้ว เจอหัวหน้าคณะ ถามว่ามีที่ใหนนั่งดื่มได้บ้าง ใบหน้ายิ้มแย้มตอบว่า มีครับ เดี๋ยวพาไป เมื่อกี่ไปสำรวจมารอบแล้ว พาเดินอยู่รอบ หาร้านได้ เลยขอตัวกลับก่อนถึงห้อง 4 ทุ่มครึ่ง โอ้พระเจ้าอาหารเย็นเราช่างอร่อยเหลือเกิน กำลังอร่อยอยู่มีเสียงโทรศัพท์ดัง อุ้ย งานเข้าอีกแล้วหรือ อ้อเปล่าหรอกพอดีเพื่อนฝากของมาให้เพื่อนเค้าที่นี่ คุยกันพัก สรุปฝากไว้กับโรงแรม มารับเอง ส่วนทางนี้ก้อมีของฝากให้เพื่อนที่เมืองไทยด้วย ไม่ได้เจอกันเลย ฝากผ่านโรงแรมไป ๆ มา ๆ มีเม้าส์
เพื่อนที่เมืองไทยนิดหนึ่ง เธอแบบจะซื้อของถูกนะ ประมาณว่าอันนี้ต้องไปซื้อที่นี่นะ อย่างนั้นอย่างนี้ เราเลยบอกว่า ถูกกว่านะใช้ บวกค่าน้ำมัน ทางด่วน เข้าไปแล้วแพงกว่าเท่าไหร่ ไม่มีอะไร ขำ ๆ นอนดีกว่า

28/8/08 โตเกียว
อาหารเช้าดูดีสุดในบรรดาโรงแรมที่ผ่านมาในทริป วันนี้ออกจากโรงแรม 9 โมง ไปดีงานก่อน
จากนั้นไปวัดอาซากุสะ คุยกับลูกค้าที่เพื่อนไปไปเที่ยวเมื่อคืนก้อคล้าย ๆ กับที่เจอมาเมื่อหลายคืนก่อน คือ
เลือกไม่ได้ ไม่ถูกใจ เสียดายตังค์อะไรประมาณนั้น ฉะนั้นไม่แนะนำ ไปถึงวัดราว ๆ 11 โมงหลังดูงานแล้ว
เหมื่อนวัดอื่นแต่ดูใหญ่กว่า แบบผังคล้าย ๆ กัน ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ถือแบบวัดพุทธ ทางเข้าออกยาว
200 เมตร ร้านค้าเยอะแยะเต็มไปหมด น่าเดินครับแถวนี้ของที่ระลึก ขนมญี่ปุ่น เยอะเยอะไปหมด ทานข้าว
กลางวันแถวนี้แหละ เป็นชุดเทมปุระ ทานได้ บ่ายนั่งเรือล่องแม่น้ำสุมิดะแห่งโตเกียว ต้องนั่งสองทอด ไม่ใช่
เรือแบบคล้ายยานอวกาศ เรือนั้นต้องดูเวลาดี ๆ ไม่งั้นรอหงิกแน่ ๆ เบ็ดเสร็จ ลงเรือ ขึ้นเรือ ต่อเรือ กว่าจะไปถึงพัลเล็ตทาวน์ ใช้เวลาไปร่วม ๆ 2 ชั่วโมง ไปถึงเดิน ๆ ผ่านเซก้ามอลล์ ไปที่เมก้าเวป เป็นที่โชว์รถ
โตโยต้า ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ไปถึงรุ่นอนาคต ดูแล้วเยอะรุ่นจริง น่าจะมากกว่า 30 รุ่น แต่ที่เข้ามาบ้านเรา 4 ปีมารุ่นหนึ่ง ประมาณว่าผ่อนหมดพอดี ค่อยสั่งรุ่นใหม่เข้ามาให้เกิดกิเลส บ้านเราจึงมีแต่รถรุ่นซ้ำ ๆ กัน ไม่หลาก
หลายเหมือนประเทศอื่น คงเป็นเรื่องการตลาดที่สร้างกันมาแบบนี้ ไปนั่งโมโนเรล ไม่มีคนขับ เย็นพอดี เจอ
ฝนด้วย รถติดมาก ๆ กว่าไปถึงร้านอาหารใช้เวลาชั่วโมงกว่า เย็นนี้ทานปูครับ พี่น้อง ราคาชุดละ 6000 เยน ไม่มีเติมด้วย แต่ปูเค้าอร่อยดี กลับโรงแรม วันนี้นิ่งกันหมด งอม ทั้งสองฝ่าย

29/8/08 โตเกียว
วันนี้กลับแล้ว หลังอาหารเช้า เช็คเอ้า ออกเดินทาง ไปวัดเมจิ ซึ่งเป็นวัดหลวง ทางเข้าวัดร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ จากที่จอดรถ เดินสัก 200 เมตร แบบวัดไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ ออกจากวัด ไปย่านฮาราจูกุ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆกัน ย่านวัยรุ่นชื่อดังอีกย่านหนึ่ง ให้ช้อปถึงบ่ายโมง แล้วไปสนามบินนาริตะ จากเมืองไปราว
1.45 นาที ใกลทีเดียวสำหรับ สนามบินนี้ 70 กม. ไปเช็คอินที่เคาร์เตอร์ J สำหรับกรุ๊ป เสร็จแล้ว ผ่านเอ็กซเรย์ ตรวจหนังสือเดินทาง เป็นอันเรียบร้อย มีของขายเยอะพอควร แต่พวกแบรนด์ ผมว่าค่อยข้างแพงนะ ถ้าเทียบกับที่อื่น จัดการซื้อขนมสวย ๆ น่าอร่อย ฝากบ้านส่วน น้อง ๆ ที่ทำงานส่วน หมดไป 10000 เยน
ถึงกรุงเทพ 21.30 โดยสวัสดิภาพ
พบกันใหม่ ซิดนีย์ - แคนเบอนร์ร่า 5-9/9/08

ป.ล. ไม่ได้เขียนในเชิงข้อมูล ซึ่งปัจจุบันมีหนังสือมากมายน่าอ่านนำเสนอแล้ว