วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวแคว้นทัศคานี



วันนี้ออกจากโรมเมื่อตอน 8 โมงเช้า มุ่งขึ้นเหนือสู่แคว้นทัคคานี ปกติจะใช้เส้นทางสาย A1 ผ่านเมืองฟลอเรนซ์ก่อน
แล้วถึงจะเลยไปเมืองปิซ่า แต่ในรายการบอกว่ารถต้องวิ่งเส้นทางสายเลียบชายฝั่งด้านตะวันตกของอิตาลี ผ่านเมืองท่า Civitaveccia ปรึกษาคนขับรถแล้วบอกว่า ใช้เวลาพอ ๆ กัน งั้นก็ลองดูไม่เคยวิ่งเส้นนี้เหมือนกัน ช่วงที่สวยสุดตั้งแต่ S.VincenZo ไปจนถึงเมือง Cecina ก่อนจะถึงเมืองปิซ่าราว ๆ 1 ชั่วโมง ถนนสร้างให้วิ่งเลียบทะเล พอให้ตื่นตาขึ้นมาหน่อย
ถนนสายนี้บางช่วงก็เป็นถนนสายรอง มี 2 เลนเท่านั้น สลับกับทาง 4 เลนเป็นช่วง ๆ ไปถึงปิซ่าก็บ่ายโมง เรารู้สึกว่าเส้นนี้
เหมือนจะเสียเวลามากกว่า การเดินทางไกล ๆ เวลาที่เสียไปเป็นเรื่องที่คนทำงานด้านนี้หนักใจกันทุกคน ยุโรปในเวลานี้
สามารถใช้รถได้เพียงแค่วันล่ะ 12 ชั่วโมงเท่านั้นเอง เป็นกฏหมายที่ดี ทำให้เกิดความปลอดภัยสูง แต่ไม่ดีสำหรับทัวร์ที่
รายการแน่น ๆ อาจจะทำไม่ทันหรือต้องตัดรายการออกไปซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหาในภายหลังได้ถึงปิซ่า รถทัวร์ไม่สามารถเข้าไปยังใจกลางเมืองได้ ต้องต่อรถรับส่งของเมืองอีกที เมื่อก่อนฟรี มาปีนี้เก็บตังค์แล้วคนละ 1 ยูโรไป-กลับ เราไปทานอาหารกลางวันใกล้ ๆ หอเอน ถึงก็เกือบบ่าย 2 เข้าไปแล้ว กินเสร็จบ่ายสามนิด ๆ หลังอาหารให้เวลาถ่ายรูป
กับหอเอน ถึง 4 โมง แล้วนั่งรถรับส่งกลับไปขึ้นรถทัวร์อีกที ไอ้เราก็รีบแต่คนช้าก็ช้าเหลือเกิน

Duomo มหาวิหาร ด้านหลังคือหอระฆํง หรือหอเอนที่เรารู้จักกันนั่นเอง

หอเอน

หอเอนแห่งเมืองปิซ่า
เมืองปิซ่าเจริญรุ่งเรืองทางทะเลเมืองศต.11 วิหาร หอล้างบาป รวมไปถึงหอระฆังก็เริ่มสร้างในสมัยนี้ ด้วยศิลปะแบบ
โรมาเนสก์ ใช้หินอ่อนในการสร้าง สถานที่ท่องเที่ยวแค่หอเอนก็ขายได้ดีแล้ว หากไม่มีเจ้าสิ่งนี้เมืองนี้คงจะเป็นเมืองที่
เงียบเหงาไปเลย
จากปิซ่าเราเดินทางไปเมืองฟลอเรนซ์ใช้เวลาอีกราวชั่วโมงเศษ เมืองนี้เดินไกลมากด้วยที่จอดรถค่อนข้างห่างจากใจ
กลางเมือง เริ่มทัวร์จากสถานีรถไฟมุ่งตรงไป Duomo มหาวิหารประจำเมือง ตอนนี้เย็นมากแล้วจึงเข้าไปดูข้างในไม่ได้
ปิดหมดแล้ว ได้แต่ถ่ายรูปกันบริเวณใกล้ ๆ มีหอศีลล้างบาปที่มีประตูสวรรค์บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดโลก หล่อจากบรอนซ์
แล้วเคลือบด้วยทองอีกที เดินกันต่อไปที่จัตุรัสซินยอเรีย มีรูปงานหินอ่อนแกะสลักตั้งอยู่กลางแจ้งให้ชมกันรวมถึงเดวิด
ด้วย แต่ทุกชิ้นงานเป็นของจำลอง ของแท้ถูกเก็บในพิพิธภัณฑ์หมดแล้ว
อดีตที่นี่เป็นศูนย์กลางการปกครองของตระกูลเมดิซี่ที่ร่ำรวยจากการเงินการธนาคาร จนสามารถรวบรวมเมืองต่าง ๆ
ในแคว้นทัคคานีให้ขึ้นต่อเมืองฟลอเรนซ์ในสมัยของคอซิโม่ที่ 1 เป็นเจ้าเมือง และยังเป็นเมืองเกิดของศิลปะเรอเนอซองส์
ฉะนั้นเมืองนี้จึงมีของดีมากมาย แต่เราใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง ในการชมเมืองก็คงไม่ได้ซึมซับอะไรกันมากมาย ไปกันต่อ
ลูปจมูกหมูป่าตัวนี้แล้วจะได้กลับมาเมืองฟลอเรนซ์อีก หรือจะโยนเหรียญถือเป็นการบริจาดให้กับทางเมือง เดินไปอีกนิด
ถึงสะพานเวคคิโอ อันเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองและรอดพ้นจากการทิ้งระเบิืดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่าง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก บนสะพานมีร้านขายทองหลายร้านและยังเป็นที่ชมวิวแม่น้ำอาร์โน เอาล่ะจากตรงนี้เดินไปขึ้นรถ 1 กิโลเมตร หลาย ๆ คนบอกว่าเราหลอกกันนี่นา มันมากกว่า 1 กิโลเมตรน่ะ ก็ใช่นะสิ บอกเยอะเดี๋ยวจะท้อแท้กันซะก่อน ทาน
อาหารค่ำ พร้อมไวน์ ถึงโรงแรมเกือบ ๆ 4 ทุ่ม วันนี้โชคดีที่รถเปลี่ยนคนขับเมื่อบ่าย ถ้าเป็นคนเดิมยังไม่รู้จะคุมเวลายังไง
แต่โชคร้ายคนขับใหม่เอี่ยมอ่อง มารู้ตอนหลังว่ารับทัวร์เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้รับคนอิตาเลี่ยนเองไปเชียร์ฟุตบอลอะไร
ประมาณนี้ แล้วเรื่องทางก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เอาล่ะซิทำงานเริ่มจะยากขึ้นแล้วซิ

หอระฆัง

ยอดโดมของโบสถ์สูงที่สุดในเมืองนี้

เดวิด ฝีมือไมเคิลแองเจโร (จำลอง) เป็นงานที่สมส่วนที่สุด แต่เราว่ามีอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยสมส่วน

หมูป่า ถ้าใครไปลูปจมูกจะได้กลับมาที่นี่อีก

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม



วันนี้เที่ยวกรุงโรมเต็ม ๆ วัน โรม 1 วันไม่เคยพอ ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2000 ปี มีสถานที่เก่าแก่ควรค่าแก่การไปเยือนเยอะแยะมากมาย เราเริ่มจากไปนครวาติกัน ชมพิพิธภัณฑ์วาติกันที่รวบรวมของล่ำค่าไว้มากมายทุกยุคทุกสมัย ด้วยและเวลาอันจำกัดไกด์จะนำชมเพียงบางส่วนเท่านั่น หากจะชมทั้งหมดคงมีเป็นวัน ๆ แน่นอน แรก ๆ ดูทุกคนตื่นเต้นที่จะเข้าไปชมแต่พอเดินเยอะขึ้นก็เริ่ม ห่าง ๆกันแล้ว ความสนใจลดลงตามกำลังวังชา ส่วนเราแปลจากไกด์อีกทีหนึ่ง ขนาดเราผู้แปลยังรู้สึกว่าทำไมไกด์บอกชื่อแต่ล่ะชื่อเราแทบจะต่อเรื่องราวไม่ถูกเลยตอนหลังมานั่งนึก แกเล่นบอกชื่อเป็นภาษาอิตาเลี่ยนนี่เองเราถึงรู้สึกว่าไม่คุ้นเลย อันที่จริงชื่อบุคคลเรียกแบบภาษาอังกฤษก็มี เลยรู้สึกสับสนพอควรเหมือนกัน เอาตัวรอด
แบบกล้อมแกล้มไปได้ เริ่มชมจากห้องโรมัน ส่วนใหญ่เป็นงานหินอ่อนแกะสลัก รูปเทพเจ้าทั้งหลาย แท่นฝังศพของ
จักรพรรคิโรมัน ห้องผ้าทอมือเป็นรูปต่าง ๆ ผืนใหญ่มากแต่ละผืนใช้เวลาทอเป็นปี ๆ กว่าจะเสร็จ ห้องแผนที่ มีภาพแผนที่ของเมืองต่าง ๆ ตอนยังไม่รวมชาติอิตาลี สุดท้ายไปจบที่วิหารซิสทีน อันโด่งดังที่สุดฝีมือของนายมิเคลันเจโล เป็นภาพวาดสีปูนเปียก ในห้องนี้ห้ามถ่ายภาพห้ามเสียงดัง ตอนเข้าพิพิธภัณฑ์มาจะมีหลาย ๆจุดที่ให้ไกด์อธิบายภาพในวิหารนี้ ชมวิหารซิสทีนเสร็จ ออกมาสามารถชมวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ต่อได้เลย ไม่ต้องออกไปข้างนอกเข้าคิวใหม่อีก เซ็นต์ปีเตอร์ ถือเป็นโป๊ปองค์แรกของคาทอลิก วันนี้ในวิหารรู้สึกให้แสงมากว่าปกติ นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะเหมือนเดิม

ซุ้มประตูทางเข้าพิธิภัณฑ์วาติกัน ไมเคิลแองเจโรรูปซ้าย ขวาราฟาแอล 2 สุดยอดศิลปินที่รังสรรค์ให้วาติกัน

เทพอเทมิส Artimis เคยเห็นที่ Ephesus ตุรกี

วิหารเซ็นต์ปีเตอร์

นักบุญปีเตอร์หรือเปโตร ชาวคาทอลิกขอพรด้วยการจูบเท้าซ้ายของพระองค์มานับหลายร้อยปี สึกจนไม่เห็นนิ้วเท้าแล้ว

เที่ยววาติกันเสร็จก็เที่ยงพอดี หลังอาหารนำคณะสู่โคลอสเซี่ยม สนามกีฬาอายุเกือบ 2000 ปี แต่พังไปหมดแล้วที่เป็น
จากภายนอกบูรณะขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้นด้วยการใช้หินของเดิมมาประกอบเข้าใหม่ ส่วนภายในสนามยังพอจะเห็นเค้าโครงเดิม
อยู่บ้าง

ภายในสนามกีฬา มุมซ้ายล่าง จำลองให้เห็นลานสมัยก่อน ส่วนชั้นล่างสุดเป็นที่ขังนักโทษและสัตว์ดุร้ายที่จะมาสู้กัน

จะสังเกตุว่าบางส่วนก็ยังใหม่ เห็นได้ชัดเจน ในยุโรปเวลาบูรณะอันใหนใหม่ เก่า สามารถแยะแยะได้เลย

จากนั้นไปชมน้ำพุเทรวี่ ซึ่งไม่ใช่น้ำพุที่สวยที่สุดแต่มีชื่อเสียงมากที่สุด แล้วเดินไปต่อที่บันไดสเปน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับ
ประเทศสเปน เพียงแต่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานฑูตสเปนประจำวาติกัน ก่อนนั้นเป็นที่นัดหมายของวัยรุ่น นึกถึงบันไดหน้าสยาม
สแควร์สมัยก่อน เวลานัดกันที่บันได คงมีการถามให้ชัดเจนว่าบันไดใหนกันแน่ อ๋อบันไดใกล้สถานทูตสเปนไง ก็ด้วยเหตุนี้
แถบนี้ยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าราคาแพง สถานที่แห่งนี้จึงไม่เคยเงียบเหงาเลย

บันไดสเปน สร้างปี 1723-6 เป็นบันไดทางขึ้นโบสถ์ Trinita dei Monti โบสถ์ฟรานซิสกันแห่งแรกในโรม

น้ำพุ Barcccia

ด้านหน้าคือถนน Via Condotti เต็มไปด้วยร้านค้าดังมากมาย

หมดวันแล้ว 1 วันในโรมเที่ยวได้แค่นี้เอง ทานอาหารเย็นกลับโรงแรม ชวนไปไนท์ทัวร์ต่อแถวจัตุรัสนาโวน่า ไม่มีใครไปกะเราเลย คงจะเหนื่อยกัน หากดูหนังเรื่องนางฟ้ากับซาตาน มีบาทหลวงถูกจับถ่วงน้ำที่น้ำพุแห่งนี้

น้ำพุแห่งแม่น้ำทั้งสี่สาย Four Rivers คงคา ไนล์ ดานูป ริโอเดอลาพลาต้า


เลยเดินเล่นมาเอง จากโรงแรม 15 นาที ย่านนี้คนเยอะร้านอาหาร บาร์ มีให้เลือกเยอะแยะเลย ซื้อไอติมทานแถว Pantheon
อร่อย ดึกแล้ว 4 ทุ่มกว่า ๆ กลับโรงแรมดีกว่า ก่อนที่จะมืดไปกว่านี้ กลัวโดนจี้ไม่ใช่อะไรหรอก

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แกรนด์อิตาลี 10-18/10/09



ไม่ได้เข้าอิตาลีมาเกือบ ๆ สัก 2 ปีเห็นจะได้ ก่อนไปก็ต้องทบทวนความจำสัก 2-3 วัน แต่ยังรู้สึกว่าเราจำอะไรได้มากมายเกี่ยวกับประเทศนี้ อาจเป็นว่าช่วงที่ไปแรก ๆ เจาะข้อมูลไว้ลึกอยู่ จนกลายเป็นพื้นให้เราสามารถบรรยาย
เรื่องราวต่าง ๆ และด้วยประวัติศาสตร์ของประเทศนี้เชื่อมโยงได้แทบจะทุกประเทศในแถบยุโรป เลยใช้ทำมาหากินได้เรื่อย ๆ
คราวนี้ไปอิตาลีประเทศเดียว รวมวันเดินทางด้วยก็ 9 วันพอดี ไม่มากเลยสำหรับอิตาลี เพราะประเทศที่รูปร่าง
เหมือนรองเท้าบู๊ท เนี่ย เราเที่ยวจากหน้าแข้งลงไปตาตุ่ม แล้วไล่ขึ้นไปถึงหัวเข่า วัน ๆ เดินทางค่อนข้างไกลตั้งแต่ สองร้อย
กิโลกว่า ๆ ถึง สามร้อยห้าสิบ ต่อวัน ฉะนั้นเดินทางครึ่งวันเที่ยวครึ่งวัน โดยเฉลี่ย คณะ 18 ท่านกำลังดี แต่ติดที่มีเด็กน้อย
กับผู้สูงอายุด้วยนี่สิ นึกภาพแล้วคงไม่สามารถนำทัวร์ได้รวดเร็วกว่าปกติแน่ ๆ

กลับมาต่อกัน หลังจากไปช่วยดูกรุ๊ปใหญ่ที่อุทัยธานี หน้าที่เราดูด้านโรงแรมอย่างเดียว นึกว่างานจะสบายกะไปแบบชิว ๆ สักหน่อย เอาเข้าจริง ตื่นเช้านอนดึกทุกวันเล่นเอางอมเลย กลับมาหลับได้เป็นวันเลย

ไปกันต่อ บินด้วยการบินไทย ไปลงที่โรม อิตาลี เรื่องของสายการบินไทยนี่ มีอาเจ๊กในคณะแหละมักจะมาบ่นให้ฟังบ่อย ๆ ว่าไม่บริการคนไทยถ้าเลือกได้ขอไปสายการบินอื่นดีกว่า คงงั้นแหละ เห็นบ่อย เวลาฝรั่งจะเอาอะไร ไม่เห็นจะมีึข้อแม้เลย แต่ถ้าเป็นคนไทย ยิ่งแบบดูบ้าน ๆ น่ะ รอไปเถิด สารพัดจะอ้าง แล้วก็ลืม หรือว่าปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษไม่เป็น หรือเปล่า

ถึงกรุงโรมตอนเช้า อากาศดี ออกรถได้ มุ่งลงไปทางตอนใต้ของอิตาลีปลายทางที่แคว้นแคมปาเนีย เมืองหลวงคือเนเปิ้ล
ภาษาอิตาเลี่ยนเรียก นาโปลี นั่งรถไป 3 ชั่วโมง ไปถึงทานอาหารกลางวันใกล้ ๆ เมืองปอมเปอิ แถบทางใต้หาอาหารจีน
ไม่ค่อยมี ช่วงแรกจึงเป็นอาหารอิตาเลี่ยนซะส่วนใหญ่ หลาย ๆ มื้อเข้าบางคนก็เลี่ยนอาหารสมชื่อเลย หลังทานข้าวเดินไป
อีกสัก 300 เมตรก็ถึงทางเข้าเมืองปอมเปอิ อดีตเมืองโรมันที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน ก่อนที่วันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ.79
ภูเขาไฟวิสุเวียสได้เกิดระเบิดขึ้น ฝุ่นควัน ก้อนหินดินทราย ได้ถูกพ่นออกจากปล่องภูเขาไฟบวกกับกระแสลมที่พัดเข้ามาหาเมืองนี้ ได้ฝังเมืองนี้ทั้งเป็น จนเมื่อ 250 ปีก่อนจึงได้เริ่มการขุดค้น แต่มาขุดกันจริงจัง ช่วงหลังจากอิตาลีรวมชาติกันแล้ว
จะเห็นมีร่างของคนในอิริยาบทต่าง ๆ นั่นเป็นวิธีที่น่าทึ่งในการขุดปอมเปอิ นึกถึงคนจริง ๆ เวลาถูกฝัง กาลเวลาผ่านไปก็จะ
เหลือแต่กระดูกใช่ใหม เมื่ออยู่ใต้ดินก็เกิดเป็นโพลงตามส่วนของเนื้อที่ย่อยสลายไป เขาจึงเทปูนปลาสเตอร์เข้าไปในโพลง
จนเต็ม รอให้แห้งแล้วแล้วค่อย ๆ เอาดินที่อยู่รอบ ๆ ออกก็จะได้ออกมาเป็นร่างของคนคนนั้น สุนัขก็มีน่ะ เค้าก็ใช้วิธีการเดียวกัน
จากประตูทางเข้า เมื่อก่อนอยู่ใกล้ทะเลห่างไม่เกิน 200 เมตร ปัจจุบันนี้ห่างไป 10 กว่ากิโลเมตร จากสภาพของเมืองตั้งอยู่
บนเนินเขา และเมืองถูกฝังลึกไม่น้อยกว่า 10 เมตร นี่แค่เถ้าถ่านนะ ไม่ใช่เมืองถูกฝังเพราะลาวา น่ากลัว..

วิหารแห่งเทพจูปิเตอร์
ฟอรั่ม ศูนย์กลางของเมืองมีภูเขาวิสุเวียสเป็นฉากหลัง

ฟอรั่ม (ศูนย์กลางการเมือง ศาสนา ตลาด ที่พบปะของผู้คน)

ข้่าวของต่าง ๆ ที่ขุดพบ จะเห็นร่างของคนอยู่ตรงกลาง

สภาพของเมืองดูค่อนข้างสมบูรณ์ สำหรับเมืองอายุ 2000 ปีก่อน ใช้เวลาเดินชมเกือบ ๆ 2 ชั่วโมง บ้านพักอาศัย ร้านค้า
สถานอาบน้ำ บ้านโคมแดง (ซ่องโสเภณี) ระหว่างเดินจะไม่มีห้องน้ำ มีแต่ที่ประตูทางเข้า ความรู้สึกในการเดินชมเมืองนี้
เหมือนเป็นอนุสรณ์สถาน มากกว่าโบราณสถาน เรารู้สึกอย่างนั้นจริง จากนั้นเดินกลับมาขึ้นรถที่ร้านอาหาร ใช้ห้องน้ำไปด้วย

เดินทางต่อสู่เมืองซอเรนโต Sorrentoไม่เกิน 40 นาที ระหว่างทางไปเมือง วิวทิวทัศน์เริ่มสวยมากขึ้นเห็นอ่าวเนเปิ้ล เส้นทางชายฝั่ง Amalfi Coast ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดสายหนึ่งของอิตาลี มีเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตามหน้าผา ชวนให้นึกถึงเมื่อตอนไปเกาะของประเทศกรีซ แต่ที่นั่นบ้านช่องสวยงามกว่า

เมืองซอเรนโต

อ่าวเนเปิ้ล เห็นเมืองเนเปิ้ลและภูเขาวิสุเวียสอยู่ลิบ ๆ

ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รูปนี้ชอบ ๆ

ไปถึงเราเข้าโรงแรมก่อน เพราะคนขับบอกว่าเมืองนี้เล็ก ถนนก็เล็กด้วย หมายความว่าเราต้องพาเดินเข้าเมืองนะซิ ราว ๆ
ซักกิโลเห็นจะได้ คืนแรกพักที่ โรงแรม La Residenza การตกแต่งในห้องธรรมดา แต่ได้ตรงวิวทะเลนี่แหละ แต่ไม่ทุกห้อง
ที่จะได้ซีวิว เก็บกระเป๋าเรียบร้อย พาคณะเดินชมเมืองระหว่างทางมีสวนมะนาวด้วย ที่นี่มะนาวเป็นพืชท้องถิ่นปลูกกันเยอะ
เห็นได้จากระหว่างทางที่เข้าเมือง เค้าเอามาทำเป็นเหล้ากลิ่นมะนาว น้ำมะนาว ไอติมรสมะนาว เมืองนี้เล็ก ๆ เป็นแบบแนว
ที่พักตากอากาศมากกว่า

Via S. Cesareo ถนนช้อปปิ้งในเมืองเก่า

พาชมเมืองก็เหมือนพาซื้อของนะแหละ น่าเดินเหมือนกันของแบบบ้าน ๆ น่ารัก มีสไตล์ เป็นถนนเล็ก ๆ ยาวตลอดสาย
ที่นี่ยังมีงานไม้ส่วนใหญ่ทำเป็นกล่องดนตรี หรือกล่องใส่ของ ราคามีตั้งแต่แพงน้อยไปถึงแพงมาก งานทำมือก็แบบนี้แหละ
บางร้านต่อรองได้ด้วย แต่เค้าลดให้นิดหน่อย พอเป็นขวัญและกำลังใจคนซื้อ ตอนแรกเพลนไว้จะพาไปถ่ายรูปริมหน้าผา
วิวพระอาทิตย์ตก แต่กว่าจะรวมกันเป็นก้อนได้ ก็มืดแล้ว ต้องรีบกลับไปโรงแรมทานอาหารค่ำ เลยพานั่งรถเมล์กลับ อีกแหละ
สายใหนผ่านโรงแรมเราหว่า แล้วต้องรอป้ายใหน ซื้อตั๋วที่ใหน แทบจะไม่มีเวลาตั้งตัวเลย เสียเวลาเหมือนกัน แถมรถเมล์
ไม่ได้ผ่านโรงแรมก่อน สรุปว่าเดินกลับเร็วกว่า รถเมล์มีสาย A,B,C เลือกให้ดี กลับถึงโรงแรม 2 ทุ่ม ทานอาหารค่ำในโรงแรม
หลังอาหาร ห้องใครก็ห้องใคร เหนื่อยมาทั้งวัน คืนนี้หลับดีแน่นอนครับพี่น้อง

เช้านี้ใช้รถเล็กไปส่งที่ท่าเรือในเมือง โรงแรมนี้รถบัสไม่สามารถเข้ามาไม่ได้ต้องเดินไปขึ้นริมถนนหน้าโรงแรม คณะค่อนข้างช้าพอควร รถที่มารับก็คือเจ้ารถเมล์คันเมื่อคืนที่นั่งกลับโรงแรม เนื่องจากกลัวไม่ทันเรือแกเลยซิ่งซะเวียนหัวกันเป็นแถว ถึงท่าเรือไกด์มารออยู่แล้ว วันนี้เราจะเที่ยวเกาะคาปรี นั่งเรือไฮดรอฟอยส์ ใช้เวลา 25 นาที ไปถึงเกาะคาปรีเปลี่่ยน
เป็นเรือเล็กอีกลำเพื่อไปชมถ้ำ Blue Grotto อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของที่นี่ ลักษณะเป็นถ้ำเล็ก ๆ ในทะเล เข้าได้
ช่วงเวลาน้ำลง คล้าย ๆ ถ้ำมรกตที่ จ.ตรัง ของเรา ถ่ายเป็นเรือบดลำเล็กอีกที คราวล่ะ 4 คน เราไม่ได้เข้าำไปด้วย เลยไม่เห็นภาพข้างใน เรือบดนี่ต้องทิปคนล่ะ 1 ยูโร ให้กับคนพายเหมือน ๆ บังคับกลาย ๆ คนที่ไม่เข้าถ้ำ ก้อต้องรอบนเรือ
ดีที่คลื่นไม่แรงเท่าไหร่ เลยไม่เห็นใครออกอาการ

ถ้ำ Blue Grotto

ชมกันเสร็จแล้วนั่งเรือกลับไปที่ท่าเรือ เมืองคาปรีอยู่บนเขามีถนนคดเคี้ยวขึ้นไปได้ หรือจะนั่งรถรางขึ้นก็ได้ เรานั่งรถ
ขึ้นไป ถึงเมืองคาปรียังต้องเดินต่อไปอีกราว 300 เมตรจึงจะถึงกลางเมือง แต่ถ้านั่งรถราง ถึงใจกลางเลย เมืองเล็ก ๆ แต่น่ารักดี ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของเยอะ ด้วยเวลานิดเดียว ให้เดินเล่น 1 ชั่วโมง เลยไปใหนไกลไม่ได้ อยู่แถว ๆ นั่นแหละ

เมืองคาปรี ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว

ท่าเรือ

เกาะคาปรี

เกาะคาปรี

จากนั้นไปทานอาหารกลางวัน เดินลงเขาไปนิดหน่อย หลังอาหาร นั่งเรืิอกลับไปที่เมืองเนเปิ้ล ใช้เวลา 50 นาที ถึงฝั่งต้อง
นั่งรถเข้ากรุงโรม อีก 3 ชั่วโมง เมืองเนเปิ้ลจึงไม่ได้ชมอะไร แค่ผ่าน ๆ ไปถึงโรมทานอาหารเย็นที่ร้านจีน เป็นมื้อแรกที่มีข้าวตกถึงท้อง เป็นร้านที่ลูกค้ามีต่อว่านิดหน่อย ก็เราบอกแล้วว่ากินร้านนี้มีปัญหาแน่ ยังไม่ยอมเปลี่ยนทำไงได้ กลับโรงแรมดีกว่า โรงแรมนี้ทำเลดีอยู่ในโรมไม่ใกลจากวาติกันเท่าไหร่ ชื่อว่า Visconti Palace พรุ่งนี้พาเที่ยวโรมทั้งวัน เก็บแรงไว้ก่อนดีกว่า