วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวแคว้นทัศคานี



วันนี้ออกจากโรมเมื่อตอน 8 โมงเช้า มุ่งขึ้นเหนือสู่แคว้นทัคคานี ปกติจะใช้เส้นทางสาย A1 ผ่านเมืองฟลอเรนซ์ก่อน
แล้วถึงจะเลยไปเมืองปิซ่า แต่ในรายการบอกว่ารถต้องวิ่งเส้นทางสายเลียบชายฝั่งด้านตะวันตกของอิตาลี ผ่านเมืองท่า Civitaveccia ปรึกษาคนขับรถแล้วบอกว่า ใช้เวลาพอ ๆ กัน งั้นก็ลองดูไม่เคยวิ่งเส้นนี้เหมือนกัน ช่วงที่สวยสุดตั้งแต่ S.VincenZo ไปจนถึงเมือง Cecina ก่อนจะถึงเมืองปิซ่าราว ๆ 1 ชั่วโมง ถนนสร้างให้วิ่งเลียบทะเล พอให้ตื่นตาขึ้นมาหน่อย
ถนนสายนี้บางช่วงก็เป็นถนนสายรอง มี 2 เลนเท่านั้น สลับกับทาง 4 เลนเป็นช่วง ๆ ไปถึงปิซ่าก็บ่ายโมง เรารู้สึกว่าเส้นนี้
เหมือนจะเสียเวลามากกว่า การเดินทางไกล ๆ เวลาที่เสียไปเป็นเรื่องที่คนทำงานด้านนี้หนักใจกันทุกคน ยุโรปในเวลานี้
สามารถใช้รถได้เพียงแค่วันล่ะ 12 ชั่วโมงเท่านั้นเอง เป็นกฏหมายที่ดี ทำให้เกิดความปลอดภัยสูง แต่ไม่ดีสำหรับทัวร์ที่
รายการแน่น ๆ อาจจะทำไม่ทันหรือต้องตัดรายการออกไปซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหาในภายหลังได้ถึงปิซ่า รถทัวร์ไม่สามารถเข้าไปยังใจกลางเมืองได้ ต้องต่อรถรับส่งของเมืองอีกที เมื่อก่อนฟรี มาปีนี้เก็บตังค์แล้วคนละ 1 ยูโรไป-กลับ เราไปทานอาหารกลางวันใกล้ ๆ หอเอน ถึงก็เกือบบ่าย 2 เข้าไปแล้ว กินเสร็จบ่ายสามนิด ๆ หลังอาหารให้เวลาถ่ายรูป
กับหอเอน ถึง 4 โมง แล้วนั่งรถรับส่งกลับไปขึ้นรถทัวร์อีกที ไอ้เราก็รีบแต่คนช้าก็ช้าเหลือเกิน

Duomo มหาวิหาร ด้านหลังคือหอระฆํง หรือหอเอนที่เรารู้จักกันนั่นเอง

หอเอน

หอเอนแห่งเมืองปิซ่า
เมืองปิซ่าเจริญรุ่งเรืองทางทะเลเมืองศต.11 วิหาร หอล้างบาป รวมไปถึงหอระฆังก็เริ่มสร้างในสมัยนี้ ด้วยศิลปะแบบ
โรมาเนสก์ ใช้หินอ่อนในการสร้าง สถานที่ท่องเที่ยวแค่หอเอนก็ขายได้ดีแล้ว หากไม่มีเจ้าสิ่งนี้เมืองนี้คงจะเป็นเมืองที่
เงียบเหงาไปเลย
จากปิซ่าเราเดินทางไปเมืองฟลอเรนซ์ใช้เวลาอีกราวชั่วโมงเศษ เมืองนี้เดินไกลมากด้วยที่จอดรถค่อนข้างห่างจากใจ
กลางเมือง เริ่มทัวร์จากสถานีรถไฟมุ่งตรงไป Duomo มหาวิหารประจำเมือง ตอนนี้เย็นมากแล้วจึงเข้าไปดูข้างในไม่ได้
ปิดหมดแล้ว ได้แต่ถ่ายรูปกันบริเวณใกล้ ๆ มีหอศีลล้างบาปที่มีประตูสวรรค์บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดโลก หล่อจากบรอนซ์
แล้วเคลือบด้วยทองอีกที เดินกันต่อไปที่จัตุรัสซินยอเรีย มีรูปงานหินอ่อนแกะสลักตั้งอยู่กลางแจ้งให้ชมกันรวมถึงเดวิด
ด้วย แต่ทุกชิ้นงานเป็นของจำลอง ของแท้ถูกเก็บในพิพิธภัณฑ์หมดแล้ว
อดีตที่นี่เป็นศูนย์กลางการปกครองของตระกูลเมดิซี่ที่ร่ำรวยจากการเงินการธนาคาร จนสามารถรวบรวมเมืองต่าง ๆ
ในแคว้นทัคคานีให้ขึ้นต่อเมืองฟลอเรนซ์ในสมัยของคอซิโม่ที่ 1 เป็นเจ้าเมือง และยังเป็นเมืองเกิดของศิลปะเรอเนอซองส์
ฉะนั้นเมืองนี้จึงมีของดีมากมาย แต่เราใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง ในการชมเมืองก็คงไม่ได้ซึมซับอะไรกันมากมาย ไปกันต่อ
ลูปจมูกหมูป่าตัวนี้แล้วจะได้กลับมาเมืองฟลอเรนซ์อีก หรือจะโยนเหรียญถือเป็นการบริจาดให้กับทางเมือง เดินไปอีกนิด
ถึงสะพานเวคคิโอ อันเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองและรอดพ้นจากการทิ้งระเบิืดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่าง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก บนสะพานมีร้านขายทองหลายร้านและยังเป็นที่ชมวิวแม่น้ำอาร์โน เอาล่ะจากตรงนี้เดินไปขึ้นรถ 1 กิโลเมตร หลาย ๆ คนบอกว่าเราหลอกกันนี่นา มันมากกว่า 1 กิโลเมตรน่ะ ก็ใช่นะสิ บอกเยอะเดี๋ยวจะท้อแท้กันซะก่อน ทาน
อาหารค่ำ พร้อมไวน์ ถึงโรงแรมเกือบ ๆ 4 ทุ่ม วันนี้โชคดีที่รถเปลี่ยนคนขับเมื่อบ่าย ถ้าเป็นคนเดิมยังไม่รู้จะคุมเวลายังไง
แต่โชคร้ายคนขับใหม่เอี่ยมอ่อง มารู้ตอนหลังว่ารับทัวร์เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้รับคนอิตาเลี่ยนเองไปเชียร์ฟุตบอลอะไร
ประมาณนี้ แล้วเรื่องทางก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เอาล่ะซิทำงานเริ่มจะยากขึ้นแล้วซิ

หอระฆัง

ยอดโดมของโบสถ์สูงที่สุดในเมืองนี้

เดวิด ฝีมือไมเคิลแองเจโร (จำลอง) เป็นงานที่สมส่วนที่สุด แต่เราว่ามีอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยสมส่วน

หมูป่า ถ้าใครไปลูปจมูกจะได้กลับมาที่นี่อีก

ไม่มีความคิดเห็น: