วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แกรนด์อิตาลี 10-18/10/09



ไม่ได้เข้าอิตาลีมาเกือบ ๆ สัก 2 ปีเห็นจะได้ ก่อนไปก็ต้องทบทวนความจำสัก 2-3 วัน แต่ยังรู้สึกว่าเราจำอะไรได้มากมายเกี่ยวกับประเทศนี้ อาจเป็นว่าช่วงที่ไปแรก ๆ เจาะข้อมูลไว้ลึกอยู่ จนกลายเป็นพื้นให้เราสามารถบรรยาย
เรื่องราวต่าง ๆ และด้วยประวัติศาสตร์ของประเทศนี้เชื่อมโยงได้แทบจะทุกประเทศในแถบยุโรป เลยใช้ทำมาหากินได้เรื่อย ๆ
คราวนี้ไปอิตาลีประเทศเดียว รวมวันเดินทางด้วยก็ 9 วันพอดี ไม่มากเลยสำหรับอิตาลี เพราะประเทศที่รูปร่าง
เหมือนรองเท้าบู๊ท เนี่ย เราเที่ยวจากหน้าแข้งลงไปตาตุ่ม แล้วไล่ขึ้นไปถึงหัวเข่า วัน ๆ เดินทางค่อนข้างไกลตั้งแต่ สองร้อย
กิโลกว่า ๆ ถึง สามร้อยห้าสิบ ต่อวัน ฉะนั้นเดินทางครึ่งวันเที่ยวครึ่งวัน โดยเฉลี่ย คณะ 18 ท่านกำลังดี แต่ติดที่มีเด็กน้อย
กับผู้สูงอายุด้วยนี่สิ นึกภาพแล้วคงไม่สามารถนำทัวร์ได้รวดเร็วกว่าปกติแน่ ๆ

กลับมาต่อกัน หลังจากไปช่วยดูกรุ๊ปใหญ่ที่อุทัยธานี หน้าที่เราดูด้านโรงแรมอย่างเดียว นึกว่างานจะสบายกะไปแบบชิว ๆ สักหน่อย เอาเข้าจริง ตื่นเช้านอนดึกทุกวันเล่นเอางอมเลย กลับมาหลับได้เป็นวันเลย

ไปกันต่อ บินด้วยการบินไทย ไปลงที่โรม อิตาลี เรื่องของสายการบินไทยนี่ มีอาเจ๊กในคณะแหละมักจะมาบ่นให้ฟังบ่อย ๆ ว่าไม่บริการคนไทยถ้าเลือกได้ขอไปสายการบินอื่นดีกว่า คงงั้นแหละ เห็นบ่อย เวลาฝรั่งจะเอาอะไร ไม่เห็นจะมีึข้อแม้เลย แต่ถ้าเป็นคนไทย ยิ่งแบบดูบ้าน ๆ น่ะ รอไปเถิด สารพัดจะอ้าง แล้วก็ลืม หรือว่าปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษไม่เป็น หรือเปล่า

ถึงกรุงโรมตอนเช้า อากาศดี ออกรถได้ มุ่งลงไปทางตอนใต้ของอิตาลีปลายทางที่แคว้นแคมปาเนีย เมืองหลวงคือเนเปิ้ล
ภาษาอิตาเลี่ยนเรียก นาโปลี นั่งรถไป 3 ชั่วโมง ไปถึงทานอาหารกลางวันใกล้ ๆ เมืองปอมเปอิ แถบทางใต้หาอาหารจีน
ไม่ค่อยมี ช่วงแรกจึงเป็นอาหารอิตาเลี่ยนซะส่วนใหญ่ หลาย ๆ มื้อเข้าบางคนก็เลี่ยนอาหารสมชื่อเลย หลังทานข้าวเดินไป
อีกสัก 300 เมตรก็ถึงทางเข้าเมืองปอมเปอิ อดีตเมืองโรมันที่เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน ก่อนที่วันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ.79
ภูเขาไฟวิสุเวียสได้เกิดระเบิดขึ้น ฝุ่นควัน ก้อนหินดินทราย ได้ถูกพ่นออกจากปล่องภูเขาไฟบวกกับกระแสลมที่พัดเข้ามาหาเมืองนี้ ได้ฝังเมืองนี้ทั้งเป็น จนเมื่อ 250 ปีก่อนจึงได้เริ่มการขุดค้น แต่มาขุดกันจริงจัง ช่วงหลังจากอิตาลีรวมชาติกันแล้ว
จะเห็นมีร่างของคนในอิริยาบทต่าง ๆ นั่นเป็นวิธีที่น่าทึ่งในการขุดปอมเปอิ นึกถึงคนจริง ๆ เวลาถูกฝัง กาลเวลาผ่านไปก็จะ
เหลือแต่กระดูกใช่ใหม เมื่ออยู่ใต้ดินก็เกิดเป็นโพลงตามส่วนของเนื้อที่ย่อยสลายไป เขาจึงเทปูนปลาสเตอร์เข้าไปในโพลง
จนเต็ม รอให้แห้งแล้วแล้วค่อย ๆ เอาดินที่อยู่รอบ ๆ ออกก็จะได้ออกมาเป็นร่างของคนคนนั้น สุนัขก็มีน่ะ เค้าก็ใช้วิธีการเดียวกัน
จากประตูทางเข้า เมื่อก่อนอยู่ใกล้ทะเลห่างไม่เกิน 200 เมตร ปัจจุบันนี้ห่างไป 10 กว่ากิโลเมตร จากสภาพของเมืองตั้งอยู่
บนเนินเขา และเมืองถูกฝังลึกไม่น้อยกว่า 10 เมตร นี่แค่เถ้าถ่านนะ ไม่ใช่เมืองถูกฝังเพราะลาวา น่ากลัว..

วิหารแห่งเทพจูปิเตอร์
ฟอรั่ม ศูนย์กลางของเมืองมีภูเขาวิสุเวียสเป็นฉากหลัง

ฟอรั่ม (ศูนย์กลางการเมือง ศาสนา ตลาด ที่พบปะของผู้คน)

ข้่าวของต่าง ๆ ที่ขุดพบ จะเห็นร่างของคนอยู่ตรงกลาง

สภาพของเมืองดูค่อนข้างสมบูรณ์ สำหรับเมืองอายุ 2000 ปีก่อน ใช้เวลาเดินชมเกือบ ๆ 2 ชั่วโมง บ้านพักอาศัย ร้านค้า
สถานอาบน้ำ บ้านโคมแดง (ซ่องโสเภณี) ระหว่างเดินจะไม่มีห้องน้ำ มีแต่ที่ประตูทางเข้า ความรู้สึกในการเดินชมเมืองนี้
เหมือนเป็นอนุสรณ์สถาน มากกว่าโบราณสถาน เรารู้สึกอย่างนั้นจริง จากนั้นเดินกลับมาขึ้นรถที่ร้านอาหาร ใช้ห้องน้ำไปด้วย

เดินทางต่อสู่เมืองซอเรนโต Sorrentoไม่เกิน 40 นาที ระหว่างทางไปเมือง วิวทิวทัศน์เริ่มสวยมากขึ้นเห็นอ่าวเนเปิ้ล เส้นทางชายฝั่ง Amalfi Coast ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางที่สวยที่สุดสายหนึ่งของอิตาลี มีเมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตามหน้าผา ชวนให้นึกถึงเมื่อตอนไปเกาะของประเทศกรีซ แต่ที่นั่นบ้านช่องสวยงามกว่า

เมืองซอเรนโต

อ่าวเนเปิ้ล เห็นเมืองเนเปิ้ลและภูเขาวิสุเวียสอยู่ลิบ ๆ

ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รูปนี้ชอบ ๆ

ไปถึงเราเข้าโรงแรมก่อน เพราะคนขับบอกว่าเมืองนี้เล็ก ถนนก็เล็กด้วย หมายความว่าเราต้องพาเดินเข้าเมืองนะซิ ราว ๆ
ซักกิโลเห็นจะได้ คืนแรกพักที่ โรงแรม La Residenza การตกแต่งในห้องธรรมดา แต่ได้ตรงวิวทะเลนี่แหละ แต่ไม่ทุกห้อง
ที่จะได้ซีวิว เก็บกระเป๋าเรียบร้อย พาคณะเดินชมเมืองระหว่างทางมีสวนมะนาวด้วย ที่นี่มะนาวเป็นพืชท้องถิ่นปลูกกันเยอะ
เห็นได้จากระหว่างทางที่เข้าเมือง เค้าเอามาทำเป็นเหล้ากลิ่นมะนาว น้ำมะนาว ไอติมรสมะนาว เมืองนี้เล็ก ๆ เป็นแบบแนว
ที่พักตากอากาศมากกว่า

Via S. Cesareo ถนนช้อปปิ้งในเมืองเก่า

พาชมเมืองก็เหมือนพาซื้อของนะแหละ น่าเดินเหมือนกันของแบบบ้าน ๆ น่ารัก มีสไตล์ เป็นถนนเล็ก ๆ ยาวตลอดสาย
ที่นี่ยังมีงานไม้ส่วนใหญ่ทำเป็นกล่องดนตรี หรือกล่องใส่ของ ราคามีตั้งแต่แพงน้อยไปถึงแพงมาก งานทำมือก็แบบนี้แหละ
บางร้านต่อรองได้ด้วย แต่เค้าลดให้นิดหน่อย พอเป็นขวัญและกำลังใจคนซื้อ ตอนแรกเพลนไว้จะพาไปถ่ายรูปริมหน้าผา
วิวพระอาทิตย์ตก แต่กว่าจะรวมกันเป็นก้อนได้ ก็มืดแล้ว ต้องรีบกลับไปโรงแรมทานอาหารค่ำ เลยพานั่งรถเมล์กลับ อีกแหละ
สายใหนผ่านโรงแรมเราหว่า แล้วต้องรอป้ายใหน ซื้อตั๋วที่ใหน แทบจะไม่มีเวลาตั้งตัวเลย เสียเวลาเหมือนกัน แถมรถเมล์
ไม่ได้ผ่านโรงแรมก่อน สรุปว่าเดินกลับเร็วกว่า รถเมล์มีสาย A,B,C เลือกให้ดี กลับถึงโรงแรม 2 ทุ่ม ทานอาหารค่ำในโรงแรม
หลังอาหาร ห้องใครก็ห้องใคร เหนื่อยมาทั้งวัน คืนนี้หลับดีแน่นอนครับพี่น้อง

เช้านี้ใช้รถเล็กไปส่งที่ท่าเรือในเมือง โรงแรมนี้รถบัสไม่สามารถเข้ามาไม่ได้ต้องเดินไปขึ้นริมถนนหน้าโรงแรม คณะค่อนข้างช้าพอควร รถที่มารับก็คือเจ้ารถเมล์คันเมื่อคืนที่นั่งกลับโรงแรม เนื่องจากกลัวไม่ทันเรือแกเลยซิ่งซะเวียนหัวกันเป็นแถว ถึงท่าเรือไกด์มารออยู่แล้ว วันนี้เราจะเที่ยวเกาะคาปรี นั่งเรือไฮดรอฟอยส์ ใช้เวลา 25 นาที ไปถึงเกาะคาปรีเปลี่่ยน
เป็นเรือเล็กอีกลำเพื่อไปชมถ้ำ Blue Grotto อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของที่นี่ ลักษณะเป็นถ้ำเล็ก ๆ ในทะเล เข้าได้
ช่วงเวลาน้ำลง คล้าย ๆ ถ้ำมรกตที่ จ.ตรัง ของเรา ถ่ายเป็นเรือบดลำเล็กอีกที คราวล่ะ 4 คน เราไม่ได้เข้าำไปด้วย เลยไม่เห็นภาพข้างใน เรือบดนี่ต้องทิปคนล่ะ 1 ยูโร ให้กับคนพายเหมือน ๆ บังคับกลาย ๆ คนที่ไม่เข้าถ้ำ ก้อต้องรอบนเรือ
ดีที่คลื่นไม่แรงเท่าไหร่ เลยไม่เห็นใครออกอาการ

ถ้ำ Blue Grotto

ชมกันเสร็จแล้วนั่งเรือกลับไปที่ท่าเรือ เมืองคาปรีอยู่บนเขามีถนนคดเคี้ยวขึ้นไปได้ หรือจะนั่งรถรางขึ้นก็ได้ เรานั่งรถ
ขึ้นไป ถึงเมืองคาปรียังต้องเดินต่อไปอีกราว 300 เมตรจึงจะถึงกลางเมือง แต่ถ้านั่งรถราง ถึงใจกลางเลย เมืองเล็ก ๆ แต่น่ารักดี ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของเยอะ ด้วยเวลานิดเดียว ให้เดินเล่น 1 ชั่วโมง เลยไปใหนไกลไม่ได้ อยู่แถว ๆ นั่นแหละ

เมืองคาปรี ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว

ท่าเรือ

เกาะคาปรี

เกาะคาปรี

จากนั้นไปทานอาหารกลางวัน เดินลงเขาไปนิดหน่อย หลังอาหาร นั่งเรืิอกลับไปที่เมืองเนเปิ้ล ใช้เวลา 50 นาที ถึงฝั่งต้อง
นั่งรถเข้ากรุงโรม อีก 3 ชั่วโมง เมืองเนเปิ้ลจึงไม่ได้ชมอะไร แค่ผ่าน ๆ ไปถึงโรมทานอาหารเย็นที่ร้านจีน เป็นมื้อแรกที่มีข้าวตกถึงท้อง เป็นร้านที่ลูกค้ามีต่อว่านิดหน่อย ก็เราบอกแล้วว่ากินร้านนี้มีปัญหาแน่ ยังไม่ยอมเปลี่ยนทำไงได้ กลับโรงแรมดีกว่า โรงแรมนี้ทำเลดีอยู่ในโรมไม่ใกลจากวาติกันเท่าไหร่ ชื่อว่า Visconti Palace พรุ่งนี้พาเที่ยวโรมทั้งวัน เก็บแรงไว้ก่อนดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น: