วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ล่องเรืออลาสก้า ก่อนลมหนาวจะมาเยือน 4-11 / 09 / 09


ก่อนเดินทางก็เหนื่อยแล้ว กลางวันไปตีกอล์ฟ กับ พี่อ้อม อินคา พี่อู๊ด โจ นิลนาถ รายการนี้ตีฟรีถึงไปหรอก ไม่งั้นอยู่บ้านเตรียมตัวดีกว่า กว่าจะจบก้อเย็น ๆ เข้าไปรับงานทัวร์แถววิภาวดี เกือบ ๆ ทุ่ม แล้วแวะเข้าเซ็นทรัล จับจ่าย ของออกทัวร์ไปหาเพื่อนแถวอ่อนนุช ขอความรู้อัปเดทหน่อย กลับมาบ้านเกือบเที่ยงคืน จัดกระเป๋าเสร็จ ออกจากบ้านตี 2 ครึ่ง ไม่ต้องนอนกันแล้วพี่น้อง นัดลูกค้า ตี 4 ครึ่ง บินด้วยสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ลูกค้าระดับ วีไอพี ส่วนใหญ่นั่งชั้นธุรกิจไม่เจอกันอยู่แล้ว น่าจะหลับได้แบบสบายใจ

04/09/09 กรุงเทพ ฯ - ซีแอตเติล
06.50 น. เครื่องออกเดินทาง หลับ ๆ ตื่น ๆ ไปตลอดทาง ใช่เวลาบิน 5 ชั่วโมง ถึงสนามบินนาริตะ ที่ญี่่ปุ่น เวลาท้องถิ่นเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง ลงจากเครื่อง เดินไปตามป้ายที่เขียนว่า International connecttion ผ่าน x-ray อีกรอบ พาลูกค้าไปนั่งพักในเล้าจน์ ของ UA อยู่ตรงข้ามประตูขึ้นเครื่อง ประตู 30 มีเวลาเดินเล่นชั่วโมงกว่า ๆ เล็ง ๆ พวกขนมสวย ๆไว้แล้วขากลับมาเจอกัน

17.30 น. ได้เวลาเครื่องออกเดินทางมุ่งส่งเมืองซีแอตเติ้ล ใช้เวลานั่งเครื่องอีก 8 ชั่วโมง 30 นาที หยิบหนังสือมาอ่าน
ทบทวนอีกรอบ จริง ๆ ก่อนไปก็แทบไม่ได้อ่านเลย ประเด็นหนึ่งไม่มีหนังสือหรือข้อมูลลึก ๆ ที่อยากได้เลย มีแต่แบบผิว ๆ ซื้อมาก็เปลืองตังค์ คิด ๆ แล้วถ้าเราทำหนังสือท่องเที่ยวได้สักฉบับคงเจ๋งน่าดู ฝันอีกแล้วเรา อ่านไปได้หน่อยหนึ่ง ตาชักจะ
หนัก ๆ แล้วสิ หลับดีกว่า สลับกับตื่นมาทานอาหารที่แอร์มาเสริฟ ไม่ใช่งกนะ เพียงแต่ถ้าไม่ทานแล้ว เอาแต่นอนตื่นมาหิว
แล้วจะเอาแรงที่ใหนไปทำงานล่ะ ว่าไหม

เอาล่ะเครื่องไปถึงสนามบิน Sea-Tac ย่อมาจาก ชื่อเมืองSeattle กับเมือง Tacoma อาจเป็นว่าสนามบินนี้อยู่ระหว่าง 2 เมืองนี้ เลยตั้งชื่อควบกันไป สนามบินไม่ใหญ่มาก ตอนเข้าตรวจพลาสปอร์ตพาเข้าช่องที่เขียนว่า Visitor มีสอบถามกันนิดหน่อย ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือด้วย ผ่านกันได้ด้วยดี เราเข้าเป็นคนสุดท้ายของคณะ มีเจ้าหน้าที่มาบอกให้ช่วยคุณป้าท่านหนึ่ง เป็นคนไทย น่าจะมาคนเดียว ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ให้ช่วยเจรจาให้หน่อย ประมาณว่า มาทำอะไรพักที่ใหน พกตังค์มาเท่าไหร่ แต่เรื่องตังค์ ป้าบอกว่า มี ไม่ถึง พันเหรียญ เราก็ตอบแบบเลี่ยง ๆ ให้แกน่ะ บอกกะเจ้าหน้าที่ว่าพกมาแต่ไม่เยอะมาก แล้วเราก็ไป ไม่รู้เหมือนกันป้าแกจะเข้าเมืองได้หรือเปล่า แค่มาถึงนี่ได้โดยไม่รู้ภาษาเราก็ว่าเก่งแล้วนะ โชคดีนะป้า

หลังจากรับกระเป๋าแล้ว รถเข็นกระเป๋าฟรี ต้องผ่านศุลกากรกระเป๋าทุกใบต้องผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ ของเราโดนเปิดแน่ ๆ เพราะมีเสบียงมาด้วย ห้ามอาหารที่ทำจากสัตว์บก พวกหมู ไก่ เนื้อ โดนยึดไปบางอย่าง ไม่เป็นไรเอาออกไปบ้างก็ดี หนักกระเป๋าน้อยหน่อย จริง ๆ ถ้าของที่เอามามีภาษาอังกฤษบอกด้วยก็จะดีมาก เจ้าหน้าที่จะได้พิจารณาเอากันเองไม่ต้องมาถามอะไรมากมาย แต่มาม่ารสหมูสับไม่โดน งง ออกมาได้ไม่ถึง 30 เมตร เจ้าหน้าที่จะถามว่า ต่อเครื่องหรือเข้าเมือง แล้วเอากระเป๋าใหญ่วางบนสายพานอีกรอบ จากนั่นลงไปนั่งรถไฟ 1 ป้าย ไปลงอีกเทอร์มินัล ขึ้นมาก็รอรับกระเป๋าอีกรอบ มีอยู่
สัก 8 สายพานเห็นจะได้ งง เหมือนกันว่าเครื่องที่ตูมาต้องรอที่สายพานใหนหว่า ไม่เห็นจะมี บอร์ดบอกไว้เลย ไปถามเ้จ้าหน้าที่ เค้าถามกลับมาว่ายูมาสายการบินอะไร ว่ากันไป ได้ผลว่ากระเป๋าออกที่สายพาน 1 แต่ไอ้รถเข็นกระเป๋าที่นี่สิแพง
โคตร คันล่ะ 4 เหรียญ สามารถใช้ธนบัตร หรือ บัตรเครดิตจ่ายได้ มองหาคนมารับอยู่พักหนึ่งไม่เจอ เลยต้องโทรเข้าหา
เอเย่นต์ใช่เรื่องไหมล่ะ ไอ้คนรับก็ไม่ได้ถือป้ายอะไรใหญ่โต ใครจะรู้เนี่ย เห็นมันเดินถาม ลูกค้าเรา แน่นอนไม่คิดว่าลูกค้า
คณะนี้จะรู้จักชื่อทัวร์ของเรา เพราะเค้ามาในนามของคณะ เสียเวลาไปสัก 15 นาทีได้ หลังจากขึ้นรถเรียบร้อย ดำเนินการต่ีอไปตามขั้นตอน แนะนำโน้นนี่ ต้องระวังอะไร และรายการท่องเที่ยวของเรา

เวลาตอนนี้ราว ๆ 11 โมงกว่า ในวันเดียวกันคือวันที่ 4 เวลาที่เมืองซีแอตเติ้ล ฝั่งอเมริการด้านตะวันตกช้ากว่าประเทศไทย 14 ชั่วโมง ฉะนั่น เวลาในอเมริการอาจแตกต่างกันถึง 4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่าอยู่รัฐไหน ประเทศเค้าใหญ่นิ
เวลาใกล้เที่ยงแล้วพาไปทานอาหารในเมือง ภัตตาคารจีนชื่อร้าน 7 star แนว ๆแบบเสฉวน มื้อนี้ทางทัวร์ให้ถือตังค์ไปจ่าย
กะร้านเอง ดีอย่าง เลยบอกคณะไปว่า มื้อแรกไม่รู้ท่านชอบแบบใหน เอาเมนูไปเปิดสั่งกันเอาเองนะ จริง ๆ แล้วเราก็ไม่รู้
จะสั่งอะไรให้เหมือนกัน เลือกกันไปได้ 7-8 อย่าง ร้านนี้อยู่ในย่านคนเวียดนามอยู่ สังเกตุจากร้านค้าบริเวณนั่น ระหว่างรอ
เดินดูรอบ ๆ เจอร้านขายโทรศัพท์ ของ T-mobile ถามเค้าว่ามีซิมแบบเติมเงินขายหรือเปล่า แล้วต้องลงทะเบียนไหม เค้าบอกว่าไม่ต้องเออดีแฮะ เพราะเราไม่ได้เอาหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย เฉพาะค่าซิมอย่างเดียว 20 เหรียญ เติมเงินไปอีก 35 เหรียญ ได้อีกกี่นาที ไม่ได้จำ เบ็ดเสร็จจ่ายไปประมาณ 60 รวมภาษี ของขายที่นี่ ราคาที่ตั้งไว้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ บวกภาษี อีก ราว ๆ 8 % หลังอาหารนำคณะมุ่งขึ้นเหนือ ไปนอนที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ก่อน ส่วนเมืองซีแอตเติ้ลนอนคืนสุดท้ายก่อนกลับ

ในช่วงระหว่างเดินทางบางคนก็เริ่ม หลับกันไปบ้าง คุยไปได้หน่อยก็ให้พักผ่อน นั่งรถไปอีก 1 ชั่วโมง แวะชมโรงงาน 1 ในหลาย ๆ แห่งของโบอิ้ง ตั้งอยู่ใกล้ ๆ เมือง Everett เป็นโรงงานที่ประกอบเครื่องบินโบอิ้งรุ่น747,767,777 และ 787 ซึ่งรุ่นนี้ยังอยู่ในไลน์การผลิต ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายโบอิ้ง ยังไม่ได้ทำการบิน คงเปิดตัวอีกไม่นานนี้ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นโรงงานที่มีอาคารใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอาคารชั่นเดียวแต่สูงมากมีพื้นที่ถึง 398,000 ตารางเมตร เทียบแบบไทย ๆ มีพื้นที่ถึง 248.75 ไร่ เป็นโรงงานที่สร้างขึ้นมาเพื่อประกอบเครื่องบินโบอิ้ง 747 ตั่งแต่ปี 1968 มีคนทำงาน 30,000 คน มีทางเดินเป็นอุโมงค์ใต้ดินยาว 3.7 กิโลเมตร มีจักรยานให้พนักงานใช้ในโรงงาน 1,300 คัน นอกจากอาคารใหญ่สุดแล้วยังมีอาคารย่อยอีกหลายโรงด้วยกัน ถ้าเดินคงน่องโป่งกันเป็นแถว เนื่องจากเวลามีไม่มากจึงพาชมเฉพาะทัวร์ในโรงงานอย่างเดียวไม่ได้เข้าไปชมในส่วนของนิทรรศการ ระหว่างทัวร์ห้ามนำกระเป๋าถือทุกประเภท กล้องถ่ายภาพ โทรศัพท์มือถือ จะเก็บไว้ในรถทัวร์หรือเช่าล็อคเกอร์ราคา 1 เหรียญ ทัวร์เริ่มจากชมภาพยนต์ บอกเล่าเรื่องราวประวัติของโบอิ้งโดยคร่าว ๆ ราว ๆสัก 10 นาที จากนั่น ขึ้นรถของโรงงาน เหมือนรถทัวร์นั่นแหละ นั่งไปได้หน่อย มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาถามอีกว่า ใครพกกล้องถ่ายรูปมาบ้าง คนอื่น ๆ ที่อาจจะเผลอลืมแล้วติดมา เค้าจะเก็บไว้ให้ เห็นมันพูดกับคนขาวด้วยกันเองพูดดี แต่พอเป็นเอเชียดูเหมือนมีพูดแนวขุ่มขู่กันเล็กน้อย เอออย่าให้ประเทศตูผลิตเครื่องบินเองได้ก็แล้วกัน รถจอดที่โรงงานเดินเข้าไปในอุโมงค์ทางเดิน แล้วขึ้นลิตฟ์ไปข้างบน โผล่ออกมาชั้นลอยกลางโรงงานพอดี เห็นภาพของการประกอบเครื่องบิน ซึ่งนำมาเป็นท่อน ๆ จนถึงประกอบเสร็จเป็นเครื่องบิน พาชม ทั้งรุ่น 767,747 ใช้เวลารวมแล้ว ชั่งโมงครึ่ง พอดี

นั่งรถไปอีกชั่วโมงเศษ ไปถึงพรมแดนระหว่างอเมริกา แคนาดา มีใบศุลกากรอีกใบที่ต้องเขียน เราก็บอกคณะว่าลง
ไปตรวจหนังสือเดินทาง กำลังลง เจ้าหน้าที่บอกว่าลงมาทำไม เอ้า ดีซิ เค้าเอาแค่พลาสปอตร์ อย่างเดียว รออยู่ไม่นาน
เรียบร้อย เดินทางต่อ อีกไม่ถึงชั่วโมง เราก็เข้าสู่เมืองแวนคูเวอร์ เวลาทุ่มกว่า ๆ แล้ว พาไปทานข้าวภัตตาคาร หลังอาหาร
ท่าน ๆ บอกว่าอยากเดินเล่นสักหน่อย จัดไป พาเดินถนนช้อปปิ้ง Robson street 3 ทุ่มแล้วร้านค้าเริ่มทยอยปิด อยากไป
ซุปเปอร์ จัดให้ครับ ที่ Safeway ซุปเปอร์ใหญ่อยู่ในเมือง ปิดเที่ยงคืน ซื้อผลไม้มาให้ทานกันบนรถด้วย เข้าโรงแรม 4 ทุ่มกว่าง่วงมาก พักที่โรงแรม Renaissance Vancouver โอเคน่ะ ห้องดี เราใด้ห้องเห็นวิวอ่าวของเมือง อาบน้ำ อ่านหนังสือไปหน่อยเดียว หลับเลย

เช้าตื่นตอน 05.30 น. กาแฟหอมกรุ่น วิวสวย ๆ อยากหยุดเวลาไว้อีกสัก 4-5 ชั่วโมง จะได้กลับไปนอนต่อ ลงมาห้องอาหารเช้ายังไม่ 7 โมง เริ่มลงกันมาหลายท่านแล้ว อาหารไม่แจ่มเท่าไหร่ เพราะไม่ใช้เป็นห้องอาหารเช้าหลักของโรงแรม
เป็นห้องสำหรับกรุ๊ปเท่านั่น ทำไมต้องแบ่งแยกด้วยเน้อ ออกเดินทางตอน 8 โมงเช้า ให้คณะเลือก จะชมเมืองหรือไปสะพาน
เพราะเรามีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั่น ต้องเดินทางกลับซีแอตเติ้ลเพื่อไปลงเรือสำราญ ตกลงเลือกกันว่าจะไปชมสะพาน
นั่งรถขึ้นทางทางเหนือของเมือง 20 นาที ระหว่างทางผ่านสวน Stanley Park มีพื้นที่ถึง 1,000 เอเคอร์ (2,529 ไร่) ในสวน
นี้มี Aquarium เสาโทเท็ม สระว่ายน้ำกลางแ้จ้ง เนื่องจากเวลาจำกัดเลยไม่ได้แวะไปชม รถวิ่งผ่านไปสุดสวนจะข้ามสะพาน
สิงโต Lion Bridge มองเห็นวิวเมืองอยู่ไม่ไกล แล้วเราก็ถึงสะพานอันมีชื่อเสียง Capilano เป็นสะพานแขวน (Suspension Bridge)ทอดข้ามแม่น้ำสายเล็ก ๆ ชื่อเดียวกับสะพาน ซื้อบัตรผ่านประตูเข้าไป มีเรื่องราวการสร้างสะพาน สะพานคาปิลาโน
ได้ชื่อว่าเป็นสะพานแขวนยาวที่สุดในโลก 137.16 เมตร สร้างตั่งแต่ปี 1888 โดยนายจอรจ์ แกนท์ แม็กเคย์ วิศวกรโครง
สร้างชาวสก็อต ได้ซื้อที่ดิน 6000 เอเคอร์ ในป่าอีกด้านของแม่น้ำคาปิลาโน่ และสร้างบ้านพักอาศัยขึ้น เลยสร้างสะพาน
ข้ามแม่น้ำสายนี้ โดยใช้เชือกป่านกันไม้สนซีดาร์มาทำเป็นไม่กระดาน หลังจากนั้นในปี 1903 สะพานถูกเปลี่ยนเป็นสาย
เคเบิ้ล จนถึงปัจจุบันเคเบิ้ลถูกเปลี่ยนมา 4 รอบแล้ว


Wolf Guardian Pole
เสาโทเทม คำว่า โทเทม เป็นภาษาของอินเดียนแดง ที่่่ใช้เรียกรูปสลักสัญลักษณ์ของตระกูลอินเดียนแดงเผ่าต่าง ๆ

เช้านี้อากาศไม่ดีเท่าไหร่มีฝนตกเล็กน้อย หลังจากซื้อบัตรผ่านประตูแล้ว ระหว่างทางเดิืนไปที่สะพาน เราจะผ่านเสาโทเทมต่าง ๆ นั่นหมายถึงว่าดินแดนแถบนี้ผู้ที่จับจองก่อนก็คืออินเดียนแดงนั่งเอง ก่อนที่คนขาวจะเข้าไปรุกราน และขับไล่ชาวพื้นเมืองต่าง ๆ ไปอยู่ยังดินแดนแถบตอนในของประเทศ



Next Generation Pole

ผ่านเสาโทเทมต่าง ๆ เราก็จะเห็นสะพานแล้ว เวลาคนเดินเยอะ ๆ สะพานจะแกว่งเยอะอยู่ เดินแล้วชวนมึนหัว
เหมือนกัน อีกด้านของสะพานทำเป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติ ที่ทำไว้ดีมาก ๆ ไม่รบกวนธรรมชาติ โดยจะทำทางเดิน
จากไม้ที่ยกสูงตั้งแต่ระดับกลาง ๆ ลำต้น ไปจนถึงเกือบยอดไม้ ของเค้าดีจริง ๆ


สะพานคาปิลาโน ยามเช้าเห็นหมอกกำลังลอยตัวขึ้น


แผนผังของ คาปิลาโน่

ใช้เวลาที่นี่้่ชั่วโมงเศษ ก่อนที่จะเดินทางกลับไปที่ซีแอตเติ้ล ใช้เวลา 4 ชั่วโมง ระหว่างพรมแดนของแคนาดากับอเมริกาเราต้องผ่านด่านอีกรอบ ซึ่งกระเป๋าทุกใบต้องนำผ่านด่านศุลกากร ทุลักทุเลพอสมควร เพราะกระเป๋าหนัก ๆ ทั้งนั้น แล้วที่เอ็กซเรย์กระเป๋า สายพานสูงระดับเอว สงสารคุณนายทั่งหลายกว่าจะยกขึ้นได้ใช้แรงไม่ใช่น้อย ก็ช่วย ๆ กันแหละ ผ่านไปได้ด้วยดี ด่านนี้โดยยึดคัฟโจ๊กไปหมดเลย เค้าห้ามของที่มีส่วนผสมเนื้อสัตว์ และพวกของสดต่าง ๆ ผลไม้ ยกเว้นที่เป็นซีฟู๊ดได้ กระเป๋าเบาลงไปอีกหน่อย ไปถึงร้านอาหารไทย ที่ซีแอตเติ้ล บ่าย 2 เข้าไปแล้ว สาเหตุมาจากแลนด์ให้ที่อยู่มาผิดเลยเสียเวลาวนหานิดหน่อย ร้านชื่อ Jai Thai เจ้าของร้านน่ารักมาก อาหารก็ให้เยอะ เสียอย่างเดียว ไม่อร่อย ทุกอย่างออกหวานหมดเลย ยังคิดอยู่ว่าฝรั่งน่าจะชอบทานอาหารไทยโดยมีรสหวานนำนิด ๆ กระมัง

เอาล่ะอิ่มท้องแล้วต้องรีบไปลงเรือ ที่จริงเค้าให้ไปถึงเรือ ก่อนเรือออก 2 ชั่วโมง แต่เราไปถึง บ่าย 3 นิด ๆ แล้ว
น่าจะเป็นคณะสุดท้าย รถไปจอดที่ท่าเรือ ลงกระเป๋า แล้วไปเช็คอินในอาคาร ใช้ตั๋วเรือที่ได้มาตั้งแต่กรุงเทพ และหนังสือ
เดินทาง ซึ่งต้องมีวีซ่าแคนาดาด้วย มีการถ่ายรูปทุกคนเพื่อเป็นข้อมูลของเรือ ทุกคนต้องแสดงบัตรเครดิต เพราะในเรือหากมีการใช้บริืการอื่น ๆ เซ็นไว้ก่อนแล้วค่อยชำระตอนจบ ทุกคนจะได้บัตรมาหนึ่งใบสำคัญมาก ๆ ใช้จ่ายอะไรเอาบัตรนี้รูดไปก่อน ลงเรือขึ้นเรือต้องใช้ตลอด เป็นกุญแจเปิดประตูห้องพัก ส่วนเราก็ห่วงกระเป๋าคณะเพราะยังไม่ได้ใส่เบอร์ห้องเลย พยายามถามเจ้าหน้าที่หลายคนก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน จนได้เจ้าหน้าที่ดูน่าจะเป็นระดับหัวหน้า บอกว่ากระเป๋ามีชื่อติดอยู่ใช่ไหม ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวจะจัดส่งไปตามชื่อให้ เออ ค่อยสบายใจถ้าให้เราเอาไปส่งเองตายแน่ ๆ ห้องกระจัดกระจายไปหลาย ๆ ชั้น ขึ้นเรือได้เรานัดพาไปสำรวจเรือกันตอน 5 โมงเย็นที่ชั้น 7 ซึ่งเป็นล็อปบี้ของเรือ แล้วแยกย้ายกันเข้าห้องพัก เราได้ห้องชั้น 4 ชั้นล่างสุดของเรือ เป็นห้องราคาถูกที่สุดไม่มีหน้าต่าง แต่มีประตูนะ ไม่งั้นจะเข้าห้องได้ไง ในห้องเหมือนอยู่ในโลกมืด ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ห้องหับพอได้ไม่เล็กเกินไปสำหรับคนเดียว มีทีวี ตู้เย็น ห้องน้ำในตัว กาต้มน้ำ ชา กาแฟ เท่านี้ก็มีความสุขในโลกแห่งความมืดแล้ว 4 โมงเย็นเรือออกจากท่าสู่มหาสมุทรแปซิฟิก

ห้องพัก

ขอแนะนำเรือลำนี้กันหน่อย มีชื่อว่า Norwegian Star ความจุ 2,240 คน ในนี้รวมถึงลูกเรืออีกครึ่งหนึ่ง เริ่มให้บริการ
ปี 2001 ระวางขับน้ำ 91,000 ตัน ยาว 965 ฟุต กว้าง 105 ฟุต ความเร็ว 25 น๊อต เป็นของบริษัท NCL ตอนเราเดินสำรวจ
เรือ รู้สึกเพลนของเรือคุ้นมาก ๆ มาทราบว่าเรือนี้เจ้าของเดียวกับเรือ Star Cruise ที่ฮิตในเมืองไทยระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหยุด
เส้นทางนี้ กำลังสังสัยอยู่ว่า น่าจะนำเรือมาวิ่งเส้นทางสายนี้แทนแน่เลย สิ่งอำนวยความสะดวกในเรือมีมากมาย บางอย่าง
เสียตังค์ บางอย่างฟรี แต่สระว่ายน้ำเล็กไปหน่อย เรียกว่าสระเด็กมากกว่า คาสิโน ห้องอาหารมีแบบฟรี และแบบต้องจ่ายตังค์เพิ่มตั้งแต่ 10 เหรียญจนถึงแพงสุด 25 เหรียญ เช่น ห้องอาหารญี่ปุ่น ฝรั่งเศล อิตาลี สเต็กเป็นต้น พนักงานในเรือกว่าครึ่งเป็นฟิลิปปินส์ ภาษาอังกฤษเค้าดี ส่วนการแ่ต่งกายบนเรือนี้ไม่เน้นเป็นทางการเท่าไหร่ เพราะว่า.......เป็น


ในรูปเป็นเรืออีกลำแต่เหมือน ๆ กัน

ได้เวลานัดตอน 5 โมงเย็นมีีผู้ที่สนใจเดินสำรวจเรือ ไม่กี่ท่านเอง พาเดินไปดูห้องอาหารต่าง ๆ และส่วนที่เป็น
ห้องการแสดง มีโรงภาพยนต์ ห้องออกกำลังกาย ดาดฟ้าเรือ รับลมชมวิว ส่วนอาหารเย็นวันนี้คณะขอทานในห้องอาหารฝรั่งเศส โดยมีเจ้าภาพจ่ายให้ บางคนก็ไปทานในห้องอาหารหลักของเรือ รวมถึงเราด้วย รู้สึกอาหารออกรสเค็มทุกอย่าง ขนาดผัดหมี่ยังเค็มเลย ไม่อร่อย หลังอาหารมีโชว์ของทางเรือทุกคืน บางคืนก็มีรอบเดียว บางคืนก็มี 2 รอบ กลับไปที่ห้องก็ดึกแล้ว เกือบ ๆ 5 ทุ่มได้ ทุกหัวค่ำจะมีพ่อบ้าน เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ชายนำตารางรายการต่าง ๆ สำหรับวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าถึงดึก วางไว้ในห้องพักให้ สำหรับคนที่อยากจะเข้าร่วมกิจกรรมก็ย่อมได้ แต่ไม่ใช่คนไทยแน่ ๆส่วนใหญ่จะมี การแนะนำเรื่องความงาม สุขภาพ แข่งขัน วัดดวง อะไรประมาณนี้ ช่วงแรก ๆ ก็คอยแนะนำว่าพรุ่งนี้มีอะไรน่าสนใจ หลัง ๆ ดูกันเอง

วันที่สองในเรือยังไม่ได้แวะจอดใหนอยู่ในเรือทั้งวัน เรือวิ่งผ่านทะเลในที่เรียกว่า Inside Passage เป็นช่องแคบ
ยาว 500 ไมล์ในเขตของแคนาดา ไม่ถึงแคบมากแต่ในบางช่วงจะเห็นเกาะแ่ก่งต่าง ๆ ทั้ง 2 ฝั่ง บางช่วงก็เห็นแต่ทะเล

ทะเลหม่นในเมฆหมอก

แม้จะไม่ได้ลงไปใหน แต่ใช่จะสบาย ต้องจองห้องอาหารให้ท่าน ของฟรีไม่กิน อยากได้โน้นได้นี่ ครับอย่างเดียว
อาหารค่ำของเราส่วนใหญ่ ราว ๆ 3 ทุ่มครึ่งถึง 4 ทุ่ม ไม่ใช่ปัญหา เพราะมีร้านอาหารที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง แบบทานง่าย ๆ
พวกเบอร์เกอร์ โดยเฉพาะปีกไก่ทอด อร่อย อุดหนุนเกือบทุกวัน และหลังเที่ยงคืนวันนี้จะมีการปรับเวลาช้าลงอีก 1 ชั่งโมง

วันที่สามในเรือ เรือเทียบเมืองแรกในการ ชื่อ เคทชิแกน Ketchikan ตอน 7 โมงเช้า นัดคณะตอน 8.30 ว่าจะพา
เดินชมเมือง ซึ่งในเรือจะมีให้ซื้อทัวร์ต่าง ๆ เวลาจอดตามเมืองนั่น ๆ เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ประชากร 8,000 คน ตั้งอยู่ทาง
ใต้ของรัฐอลาสก้า ถือเป็นประตูเข้าสู่รัฐอลาสก้าก็ว่าได้ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Tongass National Forest แต่เดิม ตัดไม้ส่งออกเป็นหลัก และจับปลาแซลมอนขาย ที่นี่อาจได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของปลาแซลมอน ที่เรียกว่า
King Salmon ซึ่งเป็นพันธ์ที่ตัวใหญ่ที่สุด ชื่อของเมืองนี้แปลว่า ปีกของนกอินทรีย์ จนมีลูกทัวร์ตาดีคนหนึ่ง บอกว่ามันไม่ใช่นะ แล้วพาเราไปดูแผ่นกระดาษที่ติดไว้ในร้านของเก่า มีข้อความว่า....

Ketchikan,what's in a name
The name Ketchiken was originally
pronounced " Kash Con " A literal
translation of the name is " by the
stink " or " by the bad smell "
because dead salmon would lie and
rot on the tide flats that used to be
at the mouth of this creek. For
decades the City Fathers proclamed
" the meaning of the name has been
lost to antiquity."

About 1990 somone from the
visitors bureau decided Ketchikan
should have a meaning tourist
would relate to so eagles' wings and
whales' tail have been put forth for
that purpose, but those of you who
read this know the truth.

ดีแฮะ ได้ความรู้ใหม่อีกแล้ว ตอนลงจากเรือ เจ้าหน้าที่จะขอบัตรแล้วรูดผ่านคอมพิวเตอร์ พาเดินไปที่ Creek street อันเป็นไฮไลท์ของเมือง เดินไปแบบสบาย ๆ ไม่เกิน 10 นาที ระหว่างทางผ่านร้านค้าเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะ
ร้านจิวแวลลี่เยอะมาก ไม่รู้นำเข้าจากเมืองไทยหรือเปล่า แล้วก็ผ่านป้ายนี้

Welcome to Alaska's 1st City , Ketchikan , The Salmon Capital of the World

ก่อนจะไปถึงถนนครีก ผ่านสวนเล็ก ที่มีชื่อว่า Whale Park เดิมเป็นแคมป์พักของอินเดียนแดงในช่วงฤดูร้อน
เพื่อมาจับปลาในบริเวณนี้ ปัจจุบันเป็นสวนเล็ก ๆ มีเสาโทเทมที่สร้างใหม่เมื่อปี 1964 เพราะว่าเสาโทเทมเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะไม่มีการซ่อมแซมหรือทาสีใหม่ ปล่อยให้ผุผังแล้วค่อยทำใหม่

Chief Kyan Totem Pole ชื่อของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง

ถนนครีก Creek street ถือเป็นย่านโคมแดงในยุดการบุกเบิกที่นี่ เป็นบ้านไม้สร้างอยู่ริมครีก ทาสีสันสวยงาม มักจะเป็นไม้ซีด้า ต้นสนพันธุ์หนึ่ง ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว บ้านพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของที่ลึก ร้านขายอาหาร

ย่านถนนครีก Creek คำนี้มีความหมายเดียวกับคลองนั่นเอง

คลองที่เห็นนี้เป็นน้ำจืดไหลลงสู่ทะเลที่อยู่ห่างไปอีกไม่กี่ 10 เมตร ปลาแซลมอนจะว่ายทวนน้ำขึ้นมาวางไข่ตาม
ลำคลองนี้ ช่วงนี้เห็นปลาเยอะมาก กำลังรอคิวเพื่อว่ายขึ้นไปเหนือน้ำ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของมัน เมื่อทวนน้ำขึ้นไปจนที่เหมาะ
แซลมอนเพศผู้ก็จะผสมพันธ์กับเพศเมีย เมื่อวางไข่แล้ว ทั้งคู่จะมีอาการเหมือนปลาเป็นโรคเกร็ดปลาจะค่อย ๆ ปริออกจน
เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนไข่เมื่อพักเป็นตัวแล้วลูกปลาแข็งแรงเพียงพอ ก็จะว่ายออกสู่ทะเล จนกว่าจะโตเต็มที่ก็จะกลับมาผสมพันธ์ที่นี่ แล้วถ้ามีใครจับปลาแซลมอนที่กำลังมีไข่เต็มท้อง กรีดท้องมันนำไข่ของมันมาทำเป็นไข่ปลาคาเวียร์ เพราะไข่ปลาคาเวียร์ ไม่มีจริงนะครับ แต่ที่จริงๆ แล้วคือไข่ของปลาสเตอร์เจียนและที่ไข่ราคาแพงเพราะกว่าที่ปลาชนิดนี้จะวางไข่ได้จะต้องโตเต็มที่ซึ่งประมาณ 12-20 ปีครับ และจะมีเฉพาะในทะเลสาบแคสเปียนซึ่งเป็นทะเลปิด และด้วยราคาของปลาและไข่ที่สูงทำให้มันใกล้จะสูญพันธ์ก็ยิ่งทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นเป็นทวีคุณ จนในระยะหลังจะมีการทำไข่ปลาคาเวียร์จากปลาแซลมอนแทน น่าสงสารเนอะ แต่อร่อย..

ปลาแซลมอนเต็มคลองเลย จะเห็นท้องขาว ๆ นั่นเสียชีวิตแล้ว ลอยมาจากต้นน้ำ




บรรยากาศในถนนครีก

บ้านดอลลี่ Dolly's House มาดามดอลลี่ ไม่ใช้คนที่อยู่ในรูปนะ อันนี้เธอเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมในบ้าน มาดามได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จที่สุดย่านโคมแดงนี้ เข้าใจว่าคงเป็นดาวเด่นของที่นี่ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ยังมีพวก
เฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ ที่เก็บรักษาไว้อย่างดี

หลังจากชมถนนครีกแล้ว ท่าน ๆ เห็นรถม้าอยากนั่ง เด็ก ๆ เอ้าได้ครับ เข้าไปถามได้ความว่าต้องไปขึ้นแถวท่าเรือ
ขึ้นกลางทางไม่ได้ แล้วไม่อยากทานอาหารในเรือ อยากทานในเมือง จัดให้ครับถามคนที่นี่ได้ข้อมูลว่าร้านนี้ปลาอร่อย
ร้าน Fish House แต่ไม่ทานไปอีกร้านหนึ่งเพราะมีขาปูอลาสก้า

นี่เป็นสัญญานไฟแดงของที่นี่ ใช้คนถือป้ายบอกแทนน่ารักดี
ระหว่างคณะทานอาหารเราไปติดต่อรถม้า เห็นราคาโหดโคตร ๆ คนเดียวคิด 30 เหรียญ ของเราประมาณ 10 คน
ลดแล้ว 25 เหรียญ แถมตัวเราเองยังคิดตังค์อีก ขนาดบอกว่าเป็นหัวหน้าทัวร์นะเนี่ย มันบอกว่าเที่ยวหน้ามาจะไม่คิด บ้าเปล่า ของงี้มากันบ่อย ๆ ซะเมื่อไหร่ เขี้ยว จริง ๆ


รถคันเบ้อเร้อใช้ม้า 2 ตัวลาก ใช้เวลา 45 นาที ในการวิ่งรอบเมือง บางช่วงขึ้นเนินม้าจะโดนเฆี่ยนเพื่อให้เร่งความเร็ว หลายคนนั่งแล้วบอกสงสารมัน ระหว่างนั่งรถม้าจุดที่น่าสนใจน้อยมาก ไม่ค่อยคุ้มกับราคาที่จ่ายไป
บ่าย 2 โมงนำคณะกลับขึ้นเรือ ตรวจบัตรเรือเหมือนเดิม พร้อมกับ เอ็กซเรย์กระเป๋า เค้าไม่ให้นำอาหารจาก
ข้างล่างขึ้นไปบนเรือ คงกลัวว่าถ้าท้องเสียแล้วจะโทษอาหารของใครดี นัดเวลาทานอาหารเย็น แล้วแยกย้ายไปพักผ่อน
เรือเริ่มออกจากท่าตอน บ่าย 3 โมง ตกค่ำเหมือนเดิมรอรับอยู่หน้าห้องอาหาร แล้วรอจนเรียบร้อย เราถึงจะไปทาน แวะไปดูโชว์มาแวบหนึ่ง คนเยอะส่วนใหญ่จะแสดงแนว ๆ ร้อง ๆ เต้น ๆ ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ กลับห้องเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ดีกว่า

วันที่สี่ของเรือ 07.00 น. เรือเทียบท่าที่เมืองจูโน Juneau เมืองหลวงของรัฐอลาสก้า เดิมเมืองหลวงคือเมืองซิตก้า Sitka ก่อนที่ย้ายมาเป็นเมืองจูโน ในปี 1906 และรวมเข้ากับอเมริกาเป็นรัฐลำดับที่ 49 เมื่อปี 1959 ถึงปีนี้ครบ 50 ปีพอดี


เมืองเรื่มเจริญขึ้นในยุดที่มีการค้นพบทองคำตั้งแต่ปี 1881 จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สามารถขุดทอง
ได้ถึง 6.7 ล้านออนซ์ และเงินอีก 3.1 ล้านออนซ์ ก่อนที่เหมืองทองจะปิดตัวลงในสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากขาดแคลน
แรงงาน เพราะต้องไปรบในสงครามโลก นั่นก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับอเมริกา ที่ลงทุนซื้อรัฐนี้จากรัสเซีย ปี 1867 ในราคา 7.2
ล้านเหรียญ ตกแล้ว 2 เซนต์ต่อเอเคอร์ เท่านั่นเอง สาเหตุเพราะรัสเซียมีปัญหากับการดูแลอลาสก้าโดยเฉพาะปัญหา
เจ้าถิ่น อินเดียนแดงนั่นเอง กับปัญหาของประเทศตัวเองที่เพิ่มจะแพ้สงครามในแถบบอลข่านที่เรียกว่าสงครามไครเมียร์
ชื่อเมืองตั้งเป็นเกียรติแก่ Joe Juneau นักบุกเบิกที่ประสบความสำเร็จในการพบทองที่นี่ ปัจจุบันมีประชากร 31,000 คน
ที่เมืองนี้มีกิจกรรมให้เลือกซื้อในเรือหลายอย่าง อาทิเช่น ทัวร์ดูปลาวาฬ นั่งเฮริคอปเตอร์ชมธารน้ำแข็ง นั่งสุนัขลากเลื่อน
เราเลือกทัวร์ชมธารน้ำแข็งให้คณะ แต่นั่งรถไปชมนะ ขนาดนั่งรถยังคิดคนละ 65 เหรียญ เลย ปกติคนล่ะ 49 เหรียญ
แต่ขอเป็นรถส่วนตัวเฉพาะคณะของเราเองราคาเลยแพงขึ้นมาอีกหน่อย หากนั่งเฮริคอปเตอร์ ตกคนล่ะ 299 เหรียญ
บานตะไทพอดี แค่นี้ก็วางแผนการใช้เงินสุด ๆ ยังมีให้ต้องใช้เงินก้อนอีกหลาย
นัดกัน 7.30 น. เพื่อลงเรือ ลงจากเรือรถมาจอดรอรับที่ท่าเรืออยู่แล้ว คนขับเป็นไกด์ บรรยายสองข้างทางไปด้วย ใช้เวลา 30 นาทีไปถึง จุดจอดรถ คนขับรถบอกว่า 10 โมงตรงจะกลับมารับ มีเวลา 1.30 ชั่วโมงในการชมที่นี่ เดินไปอีก สัก 2-300 เมตร เราก็เห็นธารน้ำแข็งแล้ว ที่เราเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า กลาเซียร์ แต่ฝรั่งออกเสียงจริง ๆ ว่า "เกลเชอะ"ที่จริงใหน ๆ ทับศัพท์ของเค้าแล้วน่าจะออกเสียงให้ตรงเลย บ่อย ๆ ครั้งที่เราพูดตามอย่างคูรสอนไว้ตอนเด็ก ๆ แต่ฝรั่งงง ถามกลับมาว่า "หมายควายว่าไง" นอกเรื่องอีกแล้ว เอ้ามาเที่ยวกันต่อ ธารน้ำแข็งนี้มีชื่อว่า เมนเดนฮอลล์เกลเชอะ Mandenhall Glacier มีความยาว 12 ไมล์ ในอเมริกา ไม่ใช้เป็นกิโลเมตรอย่างบ้านเรา ทุกวันนี้ธารน้ำแข็งหดสั้นลง ๆ จากสถิติตั้งแต่ปี 1750 สั้นลงเฉลี่ย ปีล่ะ 25 ถึง 30 ฟุต ถึงปีนี้สั้นลงไม่น้อยกว่าครึ่งไมล์ สาเหตุจากโลกร้อน กำลังฮิตนะเนี่ย

เมื่อเห็นธารน้ำแข็งทุกคนถ่ายรูปกันยกใหญ่ พูดอะไรเหมือนไม่มีใครสนใจแล้ว พาเดินไปจนสุดทางเดิน แล้วย้อน
กลับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีห้องน้ำและนิทรรศการเกี่ยวกับธารน้ำแข็ง ของที่ระลึก มีวิดิทัศน์ให้ชม 15 นาทีเพื่อเป็นความรู้ ที่จริงต้องพามาที่นี่ก่อนจะได้มีความเข้าใจกันมากขึ้น แต่ชั่วโมงนั่นอะไรก็ฉุดไม่อยู่ เลยปล่อยไหล ๆ ไป

Visitor Center เห็นช่องขวาสุดด้านล่าง ขึ้นลิตฟ์ตรงนั่นก็ได้ หรือเดินขึ้นบันไดด้านหน้าอาคาร


ธารน้ำแข็งมีการเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ตลอดเวลา เมื่อถึงส่วนปลายจะแตกหรือหัก กลายเป็น Iceberg เราะเห็นธารน้ำแข็ง
เป็นสีฟ้า เนื่องจากมีมวลความหนาแน่นสูง จึงดูดแสงสีอื่น ๆ เก็บไว้ได้แล้วปล่อยเฉพาะสีฟ้าออกมา ถ้าส่องกล้องดูใกล้ ๆ
จะเป็นธารน้ำแข็งไม่ได้สะอาดอย่างที่คิด เพราะตอนเคลื่อนตัวลงมา ได้เสียดสีกับภูเขาหินและกิ่งไม้ต่าง ๆ พาลงมาด้วย
การกัดเซาะของธารน้ำแข็งเมื่อผ่านไปนับล้านปี สามารถกัดกร่อนภูเขาเหล่านี้เป็นช่องลึกยาวนับเป็นหลาย ๆ กิโลเมตร
ได้เลย ปรากฏนี้เรียกว่า Sound สำหรับในอเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ ส่วนแถบสแกนดิเนเวียเรียกว่า Fjord

ได้เวลานัด รอกันที่จุดขึ้นรถ บริเวณนั่นเจ้าหน้าที่จะนำก้อนน้ำแข็งที่แตกหักจากธารน้ำแข็งมาตั้งให้ดูทุกวัน
ก้อนหนึ่งอยู่ได้เป็นวันเลย รถมารับตรงเวลาแป๊ะ ให้รถไปส่งที่เมือง แต่ตอนกลับจากเมืองจูโนไปท่าเรือค่อนข้างไกลอยู่
ทางเรือจะมีรถรับส่งฟรี แต่ต้องมาขึ้นที่บริเวณสถานีกระเช้า เราเลยให้ส่งตรงนี้แล้วทุกคนจะได้รู้ว่ารอรถตรงใหนยังไง
ลงรถแล้ว เห็นกระเช้าอยากขึ้น ได้สิไม่มีปัญหา ไปซื้อตั๋วราคาคนล่ะ 20 กว่าเหรียญ คอยคิวเล็กน้อย กระเช้าก็พาเราขึ้น
ถึงยอดเขาที่มีชื่อว่า Mt. Roberts ความสูง 2,000 ฟิต วิวไม่ได้สวยสักเท่าไหร่ ด้วยมีต้นไม้บังวิวและมุมไม่ได้อย่างที่คิด
แต่ยังเห็นวิวเมืองจูโน ต้องหากันหน่อยน่ะ



วิวเมืองจูโน

เรือที่เราใช้ ในช่วงพีคของเมืองนี้อาจมีเรือสำราญแบบนี้จอดถึง 7 ลำด้วยกัน

บนยอดเขาทำเป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติ และมีร้านขายของที่ระลึก เดินไปหน่อยเห็นคนเข้าคิวดูอะไรกันหนอ
ขอดูบ้าง เป็นนกอินทรีย์นี่เอง
ถูกขังอยู่ในกรง เราเอากล้องยื่นผ่านกรงถ่ายรูปนกตัวนี้ ฝรั่งเห็นบอกว่า Good idea เพราะที่เขาถ่ายมา เหมือนนกติดอยู่ในคุกช่างคิดได้ ก็จริงนิ

Bald eagle สัญลักษณ์ของประเทศอเมริกา เห็นจากหนังสือท่องเที่ยวของไทยแปลตรงตัวออกมาว่า นกอินทรีย์หัวล้าน
เราว่าฟังทะแม่ง ๆ ถ้าไม่ได้เห็นของจริงมาก่อนคงนึกหน้าตาออกไปทางอีแร้งแน่ ๆ ความคิดเราน่าจะเรียกว่า นกอินทรีย์หัวขาว ฟังดูสง่าวามกว่าเยอะ นกนี้มีมากแถบอลาสก้าซะด้วย ราว ๆ 35,000 - 40,000 ตัว เป็นสัตว์อนุรักษ์ เวลากางปีกกว้าง 6-8 ฟุต น้ำหนักมากถึง 15 ปอนด์ จัดเป็นพันธุ์ตัวใหญ่ที่สุดในตระกูลเหยี่ยว Hawk ด้วยกัน กินปลาเป็นอาหาร สามารถบินได้ด้วยความเร็วถึง 100 ไมล์ต่อชั่วโมง
นอกจากนกอินทรีย์แล้ว ยังมีสัตว์อีกเยอะแยะ เช่น ปลาวาฬหลังค่อม Humpback Whale
ปลาวาฬเพชรฆาต Killer Whale ( Orca ) อย่างชื่อเรียกปลาวาฬเหมือนกัน ใหม่ ๆ ถามฝรั่งว่าจะไปดู วาฬ ได้ที่ใหน เค้าได้
ยิน งง อีกแล้วว่าพูดอะไรอะ หน้าตาสัตว์ตัวนี้เป็นไง โอ้อธิบายอยู่นาน สรุปออกเสียงว่า เวล ก็จะมี 2 สายพันธ์หลักที่เห็นบ่อย ในน่านน้ำนี้ ยังมีปลาโลมา แมวน้ำ สิงโตทะเล หมีดำ หมีสีน้ำตาล หมาป่า แกะภูเขา กวางมูซ ฯลฯ

ใช้เวลาบนเขาไม่นาน ลงมาข้างล่างนัดเวลาว่าไม่เกินบ่าย ควรจะมารอขึ้นรถตรงนี้ ส่วนถนนสายหลัก
สำหรับนักท่องเที่ยว นี่เลย ข้างหน้าท่าน Franklin Street ถนนช้อปปิ้ง ไม่ต้องไปใหนแล้วเส้นนี้เส้นเดียว สองฟากฝั่งมีแต่
ร้านขายของทั้งนั้น

เห็นติดป้ายลดราคาทุกร้านเลย แต่ราคาไม่ยักกะถูก นี่ขนาดลดแล้วน่ะ

ร้านค้าสีสรรสวยงาม

ถนน Franklin

แปลยังไงดี ตรงตัวว่า โรงเหล้าหมาแดง อยู่บ้านเราคงเจ๊งตั้งแต่ชื่อร้านแล้ว

บรรยากาศในร้าน เดินเข้าไป โอ้โห้คนเยอะมาก ร้านนี้ไม่ใช่ร้านเก่าแก่ แนวประวัติศาสตร์ แต่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว
คงจากหนังสือแหละ ร้านนี้มีเบียร์ท้องถิ่นขาย Alaska draft beer ไม่ได้ดื่มนะแวะเข้าดูบรรยากาศเท่านั่นเอง

อันนี้ถ้าไม่ซื้อทัวร์กับทางเรือ หาเอาแถว ๆ นี้ได้ ราคาถูกกว่ากันเยอะ อย่างค่ารถไปดูธารน้ำแข็ง เที่ยวล่ะ 7 เหรียญไปกลับ
14 เหรียญเอง บวกลบเอาเองแล้วกัน
เดินเล่นได้สักพัก ก็ต้องมารอแถว ๆ รถที่จะส่งกลับขึ้นเรือ คิวเริ่มยาวขึ้นเรื่อย ๆ ฝนก็ตก บางท่านเราก็เรียกแท็กซี่ให้ ไม่อยากให้มาเข้าแถวรอคิวแบบนี้ เดี๋ยวจะออกอาการ ราคา 7 เหรียญไปส่งที่ท่าเรือ ระยะทาง 1 กิ๋โลเมตร รอจน
แน่ใจว่ากลับเรือกันหมดแล้ว จึงขึ้นรถกลับเกือบ ๆจะคันสุดท้ายแล้ว ขึ้นเรือได้พักผ่อนสักหน่อย เปิดทีวีดู ชักง่วงแฮะ แต่
ไม่กล้าหลับเดี๋ยวยาว ยิ่งห้องมืด ๆ เป็นใจอยู่ด้วย 13.30 น.เรือออกจากท่าเมืองจูโน ออกไปเดินเล่นในเรือดีกว่า ปีกไก่ทอดสักจานน่าจะดี เรือออกเดินทางได้ราว ๆ สัก 1.30 ชั่วโมง กับตันเรือประกาศว่าเรือจะผ่านให้ชมธารน้ำแข็ง ผู้โดยสารออกมารอชมกันมากมาย

บริเวณใกล้ธารน้ำแข็ง จะเห็นก้อนน้ำแข็งเต็มไปหมด บางทีน้ำแข็งที่เห็นอาจไม่เล็กอย่างที่เห็น เพราะส่วนที่จมอยู่ในน้ำ
เราไม่สามารถรู้ได้ เวลาเรือวิ่งผ่านน้ำแข็งนี้ ยังได้ยินเสียงน้ำแข็งปะทะกับเรือ อันเป็นสาเหตุทำให้เรือไททานิคจมมาแล้ว เกี่ยวกันไหมเนี่ย

กำลังดูวิวเพลิน ๆ เรือลำน้อยมาจากไหนกันเนี่ย

เห็นธารน้ำแข็งอยู่ลิบ ๆ Sawyer Glacier

รอจนเวลาอาหารค่ำนั่งทานกันแล้ว เราจึงไปทานบ้าง วันนี้ไปห้องอาหารแบบฝรั่งดีกว่า ไม่ใช้ห้องที่ต้องจ่ายเพิ่มน่ะ เมนู โอเค เลยมีสเต็กด้วยอร่อยดี หลัง ๆ ทานทุกมื้อเย็นที่นี่ หนังท้องตึงตาเริ่มหย่อนซะแล้ว ขอนอนเร็วหน่อยดีกว่า แต่พอถึงห้องก็ไม่ค่อยหลับหรอกรอจนเที่ยงคืนโน้น ถึงจะง่วง

วันที่ห้าของเรือ เช้านี้เรือเทียบท่าที่เมือง สแกกเวย์ ( Skagway ) เมื่อตอน 7 โมงเช้า วันนี้มีรายการพานั่นรถไฟสาย White Pass สร้างขึ้นเมื่อปี 1898 เพื่อนำนักแสวงโชคเข้าไปขุดทองที่รัฐยูคอนของแคนาดา รถไฟออกเดินทางตอน 8 โมงเศษใช้เวลาไปกลับ เกือบ ๆ 4 ชั่งโมง โดยไม่มีการให้ลงไปใหนเลย




ทิวทัศน์สองข้างทาง ใช่จะงามมากซะทีเดียว มีสีสรรจากใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีบ้างแล้ว ไม้ส่วนใหญ่จะเป็นต้นสน ที่เห็นต้นเล็ก ๆ นั่นอายุ 100 กว่าปีแล้ว ก็จะโตได้ไงล่ะแถบนี้เป็นหินทั้งนั้น มาเกิดแถวนี้ได้ก็เก่งแล้ว

ตัวโบกี้รถไฟดูเก่า มีเสน่ห์ดี

เกือบเที่ยงรถไฟกลับมาที่เมืองสแกกเวย์ หาร้านอาหารในเมืองให้คณะทาน ตอนแรกในข้อมูลท่องเที่ยวของเมือง
มีร้านอาหารทะเลอยู่แต่พาเดินไปถึงกลับปิดไปซะแล้ว ต้องรีบเล็งร้านอื่นแทนแทบไม่ทัน อย่างว่าเมืองท่องเที่ยวในแถบ
อลาสก้าทุกเมือง มีเรือสำราญเข้าเฉพาะเดือน พ.ค. ถึง ก.ย. จากนั่นก็เงียบแล้ว ข้าวของต่าง ๆ รวมถึงวงจรการท่องเที่ยว
ถึงได้สับโขกกันน่าดู เพราะเก็บได้แค่ช่วงเดียว ฤดูอื่นอาจหาอะไรอย่างอื่นทำ ทำไปทำมาเปลี่ยนอาชีพเลยดีกว่า ดังนั้นร้านพวกนี้จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้
เมืองนี้เล็กขนาดใหน ดูจากประชากรแค่ 900 คน สงสัยรู้จักกันทั้งเมือง ถนนเดินเล่นมีสายเดียว กับในซอยข้าง ๆ
ไม่เกิน 50 เมตร เท่านั่นเอง

ถนนสายหลัก Broadway st.


ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อาคารเก่า ปี 1899 ด้านหน้าใช้เศษท่อนไม้ 20,000 ท่อนตอกยึดกับผนังอาคาร เดิมเป็นที่พักอาศัย




รถสีเหลืองเป็นรถนำชมเมือง ตั้งแต่ปี 1923 จอดหน้าอาคารรถไฟเก่า


อนุเสาวรีย์ ของเมือง ป้ายเล็ก ๆ ข้างหน้ารูปปั้นเขียนไว้ว่า แต่เดิมชื่อเมืองสะกดแบบนี้ S-K-A-G-U-A มาจากภาษาเรียก
ของอินเดียนแดงเผ่า Tlingit แปลว่าสถานที่ที่มีลมแรง (Windy Place) และเป็นชนกลุ่มแรกที่มาที่นี่เพื่อจับปลา ส่วน
คนขาวเข้ามาจากรัฐยูคอน แคนาดา เพื่อล่าแพะและหมี จนมีการตั้งรกรากอย่างจริงจังเมื่อปี 1887 ช่วงยุคตื่นทอง

17.00น. เรือออกเดินทางมุ่งลงใต้ เพราะเมืองนี้อยู่เหนือสุดในเส้นทางเดินเรือนี้แล้ว แม้จะมาไกลขนาดนี้ ยังอยู่แค่ตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐอลาสก้าเท่านั่นเอง รัฐนี้มีเนื้อที่มากสุดของอเมริกา ซึ่งคืนนี้ทางเรือขอเก็บหนังสือเดินทางทุกคน เพราะพรุ่งนี้จะเข้าเขตของแคนาดา ทางเรือต้องเอาไปให้เจ้าหน้าที่ดูเวลาเรือเทียบท่าหรือน่าจะเจ้าหน้าที่ขึ้นไปข้างบนเรือมากกว่า
เช่นกันคืนก็ต้องปรับเวลาให้เร็วกว่าเดิม 1 ชั่วโมง

วันที่หกของเรือ วันนี้เรือเทียบท่าที่เมือง Prince Rupert ในรัฐ British Columbia ของแคนาดาเป็นเมือง
สุดท้ายของรายการเรือ แต่เรือเข้าฝั่งตอนบ่าย 4 โมงเย็น ดังนั้นเช้านี้หลับได้เต็มที่ ตื่นนอนแบบสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ สละ
อาหารเช้าไปรวบกับมื้อเที่ยงตอน 11 โมงครึ่ง เพราะเวลาอาหารเที่ยงของคณะได้เวลาจองตอน บ่ายโมง วันท้าย ๆ
อาหารรู้สึกรสชาติดีขึ้น ไม่รู้คิดไปเองเปล่า แต่หลาย ๆ คน ก็บ่นว่าเบื่ออาหารในเรือ ก็มันรสชาติไม่จัดจ้านแบบอาหารไทย
นี่นา ไม่มีรสเผ็ดเลย ธรรมดาถ้าไม่ปรับมันก็เบื่อแน่นอนแหละ

4 โมงเย็นเรือเทียบท่าที่เมือง Prince Rupert พร้อมกับสายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างแรงเชียว ถามคณะจะ
เอายังไงลุยไหม หลายคนบอกลุย เอ้าไปก็ไป เปียกปอนกันไปหมด บางท่านก็ไม่มีร่มเหมือนเราเลย ดีแต่เสื้อเรากันน้ำได้
แต่ไม่มีฮู้ด ปิดหัว เปียกซิ เมืองนี้ถ้าว่าไปแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจเอาซะเลย ไม่ว่าสถานที่ท่องเที่ยว หรือสภาพบ้านเมือง มี
มอลล์อยู่ 2 แห่ง มี Safeway กับมอลล์อีกแห่งใกล้ ๆ กัน แต่ของก็งั้น ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ กับมีเสาโทเทม แต่เนื่องจากฝนตกเลยไม่ได้เดินไป คณะจึงไปทานอาหารที่โรงแรม Crest Water front เห็นบอกว่าอร่อย เราไม่ได้ทานกะเขาหรอก จิปไวน์แก้หนาวแทน ไป 2 แก้ว ที่ว่าอาหารอร่อย จ่ายไป700 กว่าเหรียญ สำหรับ 10 คน คิดกันเอาเองแล้วกัน กลับขึ้นเรือเกือบ 3 ทุ่ม หิวมาก ๆ ต้องรีบไปกินก่อนเดี๋ยวห้องอาหารจะปิดซะก่อน
4 ทุ่มเรือออกจากท่ามุ่งหน้ากลับสู่ซีแอตเติ้ล แต่ยังอีกไกล นอกจากคืนนี้แล้ว ยังต้องค้างอีกคืนบนเรือ

เก็บภาพมาได้รูปเดียว ตรงท่าเรือนั่นแหละ

วันที่ 7 วันนี้อยู่บนเรือทั้งวัน ไม่มีอะไรมาก เดินเล่น กินไปเรื่อย ง่วงก็นอน ถือซะว่าเป็นวันพักผ่อนแล้วกัน วันนี้ก็บอกว่าท่านที่มีค่าใช้จ่ายกรุณาชำระให้เรียบร้อย จะจ่ายด้วยวิธีใหนก็ได้ เกรงว่าพรุ่งนี้เช้าคนจะเยอะ ส่วนของเราก็รูดซะหมดเนื้อหมดตัว ยอดของเรา 4 พันกว่าเหรียญหนักค่าทัวร์ตามเมือง ต่าง ๆ ออฟฟิตให้ตังค์มาแบบขาดไปเยอะเลย ช่วยได้ก็ช่วยกันไป แต่กลับไปอย่าลืมคืนแล้วกัน การบริการทุกอย่างตัดปิดตอน 4 ทุ่ม ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต คาสิโน และให้
วางกระเป๋าใบใหญ่ที่หน้าห้องพักก่อนตี 2 ของวันรุ่งขึ้น ก่อนหน้านั่นเราได้แจกป้ายผูกกระเป๋าแก่ทุกท่านแล้ว เค้าจะแบ่ง
เป็นสี ๆ แต่ล่ะสีจะมีเวลาลงเรือบอกไว้ สีที่เราได้ลงเรือตอน 08.55 น.

วันที่ 8 เรือเข้าตอน 07.00 น. นัดคณะเจอกันตอน 09.00 น. เมื่อพร้อมแล้ว ลงจากเรือบัตรยังคงต้องใช้อยู่ ตรวจหนังสือเดินทาง แล้วมารับกระเป๋า ซึ่งแยกเป็นสี ๆ ไว้แล้ว แต่ไม่มีรถเข็นบริการ ต้องลากกระเป๋าผ่านศุลกากร แต่ไม่ได้ตรวจเข้มอะไร เดินผ่านกันไปได้เลย ออกมาเห็นรถรออยู่แล้ว วันนี้พักที่เมืองซีแอตเติ้ลอีกคืน
เริ่มจากชมเมืองก่อน พาไปดูบรรยากาศของตลาด Pike Market ที่นี่เป็นตลาดเก่าแก่อายุ 100 ปี พอดิบพอดี
ขายของสดทุกอย่าง ดอกไม้ ผลไม้ ผัก ปลา ต่าง ๆ รวมไปถึงอื่น ๆ และที่สำคัญยังเป็นที่ตั้งของสตาร์บัค ร้านแรก และยังเปิดบริการจนทุกวันนี้

ปีที่เปิด 1912 อยากชิมต้องอดทน คิวยาวเหยียด

มีนักดนตรีเล่นประำจำทุกวัน แต่ไม่เกี่ยวกับทางร้านนะ

จากนั่นพาเดินเข้าไปในตลาดปลา เวลาถ้ามีคนมาซื้อปลา เค้าจะหยิบแล้วโยนปลาให้คนที่อยู่หลังแผงขายจัดการอีกที

ไม่ไป ..หนูจะขี่หมู

ลุง ..ลุง.. ทำไรอะ หมูมันหลับตาพริ้มเชียว

หมูตัวนี้น่ารักมาก ๆ เกิดเนื่องจากทางเมืองมีโครงการจะรื้อทิ้งเพราะตลาดมันสกปรก แต่ชาวซีแอตเติ้ลไม่ยอม บริจาคเงิน
คนละเล็กคนละน้อย เพื่อทำให้ตลาดสะอาดสะอ้านขึ้น หมูมีชื่อเรียกว่า Piggy Bank สร้างเมื่อ 17 .08.1986 สังเกตุตรงคอ
ของหมูจะมีช่องหยอดเงินบริจาคแบบกระปุกออมสินเลย ด้านหลังเป็นแผงขายปลาสด ๆ

ดูทุกคนมีความสุข รวมทั้งเราด้วย ดูมีเสน่ห์กับบรรยากาศของตลาดที่นี่

กุ้งมังกรก็มี

ราคาพอรับได้ไหม ก้ามปูอลาสก้า ของเขาใหญ่จริง ๆ

ผักสด ๆ จ้า สังเกตุนะเขาจะไม่จับ ไม่หยิบ ไม่บีบ หรือเอาขึ้นมาดู อยากได้ชนิดใหนชี้เอา เอาเท่าไหร่ เดี๋ยวคนขายจัดให้เอง
เคยเห็นบางคนไปจับ ถูกเค้าว่าต่อหน้าต่อตาก็เคยแล้ว โดยเฉพาะผลไม้ แต่ถ้าเป็นในซูเปอร์มาเก็ตใหญ่ไม่เป็นไร

เห็นแม่ค้าขายดอกไม้เป็นคนเอเชียทั้งนั่นเลย

ดอกไม้ย่อมคู่กับสาวสวย

แต่ไม่เสมอไปหรอก...ขอบอก

มองแต่ไกลเค้าขายอะไรอะ ทำไมต้องแขวนด้วย

พริกนี่เอง เห็นแล้วน้ำลายสอ อยากกินของเผ็ด แต่ดูหน้าตาไม่น่าจะเผ็ดนะ

ทางเข้าตลาดที่คณะเราเดินเข้าไป รถทัวร์จอดถนนทางขวามือ ลงเนินไปนิดหน่อย

ฉลอง 100 ปี จุ๊บ..จุ๊บ..

มีตลาดนัดเสริมด้านนอกนิดหน่อย


วิวริมอ่าว แค่เดินข้ามถนนจากตลาด

ไปกันต่อใช้เวลาชมตลาด 1 ชั่วโมง บอกเลยว่าเห็นแล้วชอบ อาจเป็นว่าหลาย ๆ วันไม่ค่อยเห็นลักษณะแบบนี้
คณะบอกว่ายังไม่ได้ซื้อของฝากกันเลย ฉะนั้นเที่ยวแค่นี้พอ จากนี้ไปช้อปอย่างเดียว เริ่มจาก ห้าง Costco ออกไปนอกเมือง
นิดเดียว แนว ๆ เหมือนห้างเม็คโคร บ้านเรา ซื้อกันเป็นแพ็ค ๆ และต้องมีบัตรสมาชิก มีของใช้ของกินทุกอย่าง ราคาถูกน่ะ
เท่าที่ดูคร่าว ๆ ช้อปเสร็จ ได้เวลาอาหารกลางวัน แล้วไปต่อ ที่ Premium Outlets นั่งรถออกไป 40 นาที

ดูจากแบรนด์ก็โอ เค นะ รู้จักหลายยี่ห้ออยู่ แต่ส่วนใหญ่ที่อยากได้ มีแต่ตัวใหญ่ ๆ ทั่งนั้น เลยได้เสื้อของโปโลตัวเดียวแค่นั้นเอง จริง ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ แต่ท่านบอกว่าเข้าไปดูเป็นเพื่อนหน่อย ท่านชวนแต่ไม่ซื้อ เราซื้อเอง ฮ่า..
ยังไม่พอไปต่อกันอีกห้างใกล้ ๆ Walmart คล้ายคาร์ฟู โลตัส เสร็จจากนี่้เริ่มมืดพอดี ทานอาหารเย็น เป็นอาหารไทย
แต่ร้านไม่โดน เพราะเปิดเป็นผับด้วย ดูเก่า ๆ ไม่ค่อยสะอาดเลย รสชาติธรรมดา พอได้ หลังอาหารกลับโรงแรม Hilton
ห้องดี

รถทัวร์ที่ใช้วันนี้ 30 ที่นั่ง ดูโฉมดุดี

วันนี้เดินทางกลับแล้ว 9 โมงเช้าออกจากโรงแรม สู่สนามบินซีแทค ใช้เวลา 30 นาที วันเสาร์รถไม่ติดเลย
ถึงสนามบิน ไม่พ้นเรื่องกระเป๋าอีกแหละ ไม่ยอมเสียค่ารถเข็นกัน ถามเจ้าหน้าที่ว่าจ้างยกคิดยังไง เค้าว่าบินชั้นอะไร
เราบอกชั้นธุรกิจ เลยช่วยขนให้ ตอนเช็คอินไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ตอนเข้าไปด้านในคิวยาวตอนเข้าแถวเอ็กซเรย์ตรวจเข้มเลย ทำเขาไว้เยอะ ในสนามบินนี้ปลอดบุหรี่ทั้งอาคาร ดีมาก ของขายในสนามบินน้อยมาก ๆ มี ไม่กี่ร้านเอง ขึ้นเครื่องได้
หลับดีเหมือนเคย แต่ขากลับบินนานหน่อย 10 ชั่วโมง เห็นลูกค้าบอกเพราะตอนกลับบินตามตะวัน เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน
ไปถึงนาริตะบ่ายโมง แวะซื้อของฝากน้อง ๆ ที่ออฟฟิต กะที่บ้านอีกหน่อย เครื่องถึงกรุงเทพ 5 ทุ่มเศษ
มีความรู้สึกว่าเส้นทางนี้น่าจะเป็นเส้นทางในฝันของหลายท่านเลย เอาเป็นว่าแต่ล่ะเมืองมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไป แต่ค่าใช้จ่ายในแต่ล่ะเมืองขูดกันไปหน่อย หากต้องการพักผ่อนจริง ๆ ไม่ชอบผจัญภัย ก็ขอแนะนำครับ
มีรูปอีก 2 รูปมาฝาก อันนี้เป็นเมนูอาหารไทย




สวัสดี ดีไม่ดีติชมกันได้นะครับ

2 ความคิดเห็น:

ooOhhoo กล่าวว่า...

น่านดิเมื่อไรจะลงรูปได้...แล้วเขียนต่อซ้าทีล่ะ ???
รอนานแสนนานแล้วนะเนี่ย...

Pakwan กล่าวว่า...

สวัสดีค่ะ

เป็นไกด์ฟรีแลนซ์ด้วยหรือเปล่าคะ?

จะรบกวนขออีเมลหรือเบอร์โทรติดต่อค่ะ

pakwan.dpm@gmail.com นะคะ