วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ปารีส 28 - 4 กันยายน 2008

ปารีสเพียว ๆ ไม่มีเมืองอื่นปะปน นาน ๆจะได้ไปยุโรปแบบประเภทเมืองเดียว ประเทศเดียว ดีไปอย่าง
ไม่ต้องนั่งรถนาน ๆ โปรแกรมดูเหมือนจะสบาย ๆ แต่ทำเข้าจริงกลับเหลือเวลาไม่มาก จะเป็นยังไงอ่านกันต่อนะ

วันแรก นัดลูกค้าที่สุวรรณภูมิตอนห้าทุ่มครึ่งของวันที่ 28 แต่เที่ยวบินจริง ๆ เป็นตอนตี 3 ของวันที่ 29 เหตุที่ต้องนัดกันเร็ว เพราะกลัวลูกค้าสับสนมากลางคืนของอีกวัน แบบนี้อดไปแน่ ๆ มาถึงสนามบิน 4 ทุ่มครึ่ง รอเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ ห้าทุ่มกว่าลูกค้าเริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว ที่นั่งทางสายการบินทำไว้ให้ แล้ว กระเป๋าโหลดเป็นกรุ๊ปได้ตามชื่อ บินด้วยสายการบินคูเวต แอร์แวย์ คราวนี้ไปด้วยกัน 2 บัส ลูกค้า 80 คน หัวหน้าทัวร์สอง กัน พนักงานบริษัทอีกสอง เครื่องออกตีสาม ทำให้คนเดินทางง่วงกันเป็นแถว ๆ เนื่องจากต้องเปลี่ยนเครื่องที่คูเวต จึงไม่แนะนำให้ซื้อพวกของที่เป็นของเหลว เดี๋ยวช่วงต่อเครื่องจะถูกทิ้งซะก่อน บนเครื่องมีอาหารว่าง ตอนก่อนลงมีอาหารเช้าให้ ไม่มีบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่ง ไปถึง เวลาที่นั่งพึ่งจะ 6 โมงเช้าเอง ช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง แต่ต่อเครื่องนานมาก 5 ชั่วโมงครึ่งได้ ก่อนลงจากเครื่องก้อเตือนลูกค้าอย่าลืมของทุกสิ่งอย่างนะ เราจะเปลี่ยน เครื่องลำใหม่ ลงจากเครื่องพาเดินมาที่ใจกลางของอาคาร คือตรงใหน คือที่ ๆ มีร้านค้านะซิ ใกล้ ๆ ร้าน กาแฟ Costa มีเคาร์เตอร์ทรานสเฟอร์ ถามเรื่องประตูขึ้นเครื่อง กับได้คูปองอาหารว่าง ซึ่งไม่ได้ความเลย แล้วจัดแจงนัดเวลาแจ้งเวลาท้องถิ่น ประตูขึ้นเครื่อง แล้วก้อสลายตัว
สนามบินไม่ใหญ่มาก จากร้านค้ามีทางเดินแยกไปขึ้นเครื่อง 3 ทาง ร้านไม่กี่ร้านเอง และแมคโดนัลด์ กันร้านกาแฟ 1 ร้าน เงินที่นี่ใหญ่เลย 1 kwd เท่ากับ 128 บาท จ่ายเป็นยูโรได้ แต่ถ้าต้องซื้อของแพงแนะนำ แลกเป็นเงินคูเวตที่ร้านแลกเงิน ตรงแถว ๆ ร้านค้ามีอยู่ที่หนึ่ง จะได้ราคาดีกว่า ส่วนเรานั่งจิปกาแฟ ราคา ราว ๆ 200 บาทไทย เที่ยวต่อจากคูเวตไปปารีส 5 ชั่วโมงครึ่ง มีอาหารเที่ยงบริการ ให้เลือก 3 เมนู ไก่ ปลา และมังสวิรัติและก่อนเครื่องลงมีอาหารว่างอีกมื้อ ไปถึงปารีส 5 โมงเย็น เครื่องลงที่อาคาร 1 เข้าเมืองไม่ต้องเขียนอะไรเลย รับกระเป๋าเสร็จแล้วลงมาขึ้นรถชั้นล่างเหมือนเดิม มีมั่ว ๆ นิดหน่อยเพราะรถอีกคันจอดห่างไปหน่อย หัวหน้าทัวร์อีกคน ก้อไม่ได้ดูหมายเลขของทัวร์ อารมณ์ประมาณทัวร์เดียวกันขึ้นเลย ไปถึงร้านอาหาร ทุ่มครึ่ง เจ้าหน้าที่ของร้านปลอดภาษีมาจ๊ะเอ๋กัน 2 ค่าย เราก้อคุยได้หมดแหละ ใส่ใจบิสเนสทั้งนั้น หลังอาหารล่องแม่น้ำแซน ตอน 3 ทุ่ม ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วประมาณ สัก 12 องศา ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที ลูกค้าตาปรือกันเป็นแถว ง่วงนี่นา ถึงโรงแรม 5 ทุ่มกว่า คราวนี้พักไกลนอนแถวดิสนีย์แลนด์เลย กว่าจะเรียบร้อยทุกอย่างปาไปเที่ยงคืนครึ่ง ว่าจะหาไวน์สักแก้วดื่ม ปรากฏว่าบาร์ปิดไปตอนเที่ยงคืนแล้ว เอ้านอนก็นอน พักร่วมกันหัวหน้าทัวร์อีกคน รุ่นใหญ่แล้วล่ะ คุยแต่เรื่อง 10 กว่าปีที่แล้ว น่าเบื่อ ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาช่วงเวลาไปใหนหมด ห้องใหญ่เหมือนกัน ใหม่ มีกาต้มน้ำพร้อมกาแฟ ชา ฟรีครับพี่น้อง แต่ไม่มีน้ำดื่มให้ เป็นปกติในยุโรป

วันที่สอง ตื่นมาตอน 6 โมงกว่า ลงมาที่ห้องอาหารเช้า 7 โมงครึ่ง ลูกค้ามีลงบ้างแล้วนิดหน่อย นัดทานอาหารเช้าตอน 8 โมง อาหารก้อดี ขนมปัง ไส้กรอก แฮม ไข่คน สลัด เติมตลอดไม่ขาด 9 โมง เดินทางเข้าเมืองปารีส ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เมืองนี้รถติดน้อง ๆ กรุงเทพเลย เริ่มทัวร์ด้วยโบสถ์โนเตรอ ดาม
รถจอดในที่จอดรถใต้ดินปอมปิดูเซ็นเตอร์ ตอนแรกให้จอดส่งใกล้ ๆ ไม่ยอม แต่ก็ดีเพราะจอดรอได้นาน ๆ ตอนแรกกะว่าใช้เวลาไม่นานมาก แต่ เอาแค่เดินไป 20 นาที ปกติไม่ถึงหรอก ไปถึงหน้าโบสถ์ใจร้านเหมือน กันให้เวลา 30 นาที แต่คณะใหญ่ คุมยากมาก เบ็ดเสร็จใช้เวลาไปรวมเดินไปที่จอดรถด้วย 2 ชั่วโมงพอดี
ออกจากปารีสเที่ยง ไปทานอาหารกลางวันที่แวร์ซายน์ บ่ายโมง อันที่จริงจองเวลาเข้าวังไว้ตอน 13.15 ไม่ทันแน่ ๆ โทรบอกไกด์วัง เวลาสามารถเลื่อนได้ถ้ากรุ๊ปเข้าชมไม่แน่นเกินไป รถส่งถึงหน้าร้านอาหารเลย นายแน่มาก เนื่องจากไปช้ามีทัวร์อื่นกำลังทานเลยต้องรอ ร้านรับได้พอดีคณะเลย ทานเสร็จพาเดินไป
ที่วัง ตอนนี้เปลี่ยนทางเข้าอีกแล้ว จากเดิมเข้าด้านข้างที่มีห้องน้ำและร้านกาแฟ ตอนนี้ปิดแล้วย้ายไปอีก ด้านฝั่งทางไปชมสวน ทำทางเข้าชั่วคราวสำหรับคนทั่วไป น่าจะปรับปรุงใกล้เสร็จแล้ว เท่าที่ดู อนุเสาวรีย์ หลุยส์ 14 จะได้เสด็จกลับมาซะที ตอนนี้ประพาสป่าล่าสัตว์อยู่ แบ่งคณะเป็น 3 กลุ่ม ทยอยกันเข้าไป
ชมวังแล้วออกมาชมสวนหน่อย ดอกไม้ยังพอมีให้เห็น ไม่เก็บตังค์ค่าเข้าสวนแล้วช่วงนี้ ช้อปปิ้งกับขายตรง แถว ๆ ที่จอดรถ วันนี้มีคนขายเยอะมากพอดู ทำให้ตลาดเป็นของผู้ซื้อ กุญแจหอไอเฟลขายกัน 5 อัน 1 ยูโร บางคนต่อได้ 6 อัน 1 เป็นความสามารถพิเศษ ห้ามลอกเลียนแบบ สงสารมัน ส่วนใหญ่พวกคนดำทั้งนั้น
กลับถึงปารีส 5 โมงเย็น พาไปซื้อของปลอดภาษีที่เบ็นลักซ์ ระหว่างนั่นทางเจ้าที่ของคณะอยาก ได้ไวน์ เราพาไป จากร้านปลอดภาษี ตรงขึ้นไปถึงอนุเสาวรีย์ ชานน์ ดารก์ เลี้ยวขวา ไปถึงไฟแดงแยกแรก เลี้ยวซ้ายหัวมุมมีร้าน นิโคลลัส ขายไวน์อย่างเดียว ร้านนี้เท่าที่สังเกตุมีสาขาทั่วไป คนซื้อเน้นไว้ถูก เจอ
ราคา 3 ยูโร บอกเอาลังหนึ่ง เราก็ว่าพี่ใจเย็น ๆ ราคานี้มีเยอะ เลือกเอาหลาย ๆ ยี่ห้อ ในราคาใกล้กัน ระหว่างนั้นเราก็ดูไวน์ว่าจะไปดื่มที่ห้อง แต่คนซื้อได้ครบแล้ว เราบอกรอแป๊ปขอเลือกสักขวด ดูไปดูมา เจอตัวหนึงเข้าตาเลย Chateau D'Aussieres Domaines Barons De Rothchild (Lafite) ราคา 18 ยูโร ลูกค้าใจดีมากบอกว่า จ่ายให้รวมในบิลของเค้า เราบอกว่าไม่เป็นไรหรอกขวดนี้มันแพงกว่า พี่เค้าบอกไม่ เป็นไร ด้วยความเกรงใจ เลยบอกไปว่า ได้ครับขอบคุณครับ ไม่รู้พี่เค้าคิดไม่ทันหรืออย่างไร ของเราขวดหนึ่ง เท่ากับของพี่เค้าครึ่งลังได้เลยนะเนี่ย แต่ตอนช่วยยกนี่หนักนะกว่าจะเดินกลับไปถึงร้านน้ำหอม ฝากที่ ร้านไว้ก่อน ไว้รถมาแล้วค่อยมายกไป ช้อปกันพอหอมปากหอมคอ ไม่เร่งก็ไม่รีบ ร้านอาหารอยู่ใกล้นั่งรถ ไป 15 นาที เป็นร้านอาหารไทย รสชาดพอได้ไม่ถึงกับจิ๊ดเท่าไหร่ ทานเสร็จกลับโรงแรม ถึง 8 ทุ่มครึ่ง ตามเวลาการใช้งานรถ คืนนี้ได้ลองไวน์ที่ซื้อมา ต้องบอกว่า รสดีจริง ๆ คราวหน้าเจอกันอีกแน่ ๆ

วันที่สาม เช้านี้ไปชมพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ แบ่งเป็น 3 กลุ่มเหมือนเดิม พร้อมไกด์ไทยนำชม เริ่มจากส่วนที่ขุดเจอเป็นป้อมปราการมาก่อน ต่อด้วยอียิปต์เล็กน้อย วีนัส วิงออฟวิกเตอร์รี่ ภาพเขียนโดยจิตรกรฝรั่งเศล และ โมนาลิซ่า ด้วยเวลาไม่มากเน้นชมจุดสำคัญ ๆ มากกว่า มีศิลปะกว่า 3 แสนชิ้น ดูกันจริง ๆ
ทั้งวันยังไม่พอเลย ไปทานข้าวเที่ยวแถวไชน่าทาวน์ ระหว่างนั้นเลยเดินไปดูร้านอาหารอีกร้านกะจะให้ช่วย สั่งเค้กวันเกิดให้หน่อย ร้านบอกว่าทัวร์เราไม่ได้จองมา โชคดีนะที่มีวันเกิด ไม่งั้นเย็นนี้ 80 คน บอกไม่ได้จองอะไรจะเกิดขึ้น บางทีโชคก้อมีส่วนเหมือนกัน เลยจัดแจงจองบัดเดี๋ยวนั้น ส่วนเค้กร้านบอกว่าแถว ๆ นั้น
มีร้านอยู่ ถ้าให้เขาซื้อจะแพงกว่านะ เออ ๆ ไปดูเองก็ได้ เดินไปได้หน่อย เจอร้านหนึ่ง แต่ไม่มีเค้ก คิดไปคิด มา เราไม่ว่างขนาดนั้นนี่ เลยเดินกลับไปที่ร้านบอกว่า หาให้หน่อยแล้วกัน งบ 50 ยูโร เจอกันเย็นนี้ (ทัวร์นี้จองตรงกับร้านอาหารทั้งหมด) กลับไปที่ร้านอาหารทานข้าวอย่างรวดเร็ว ไปหอไอเฟลต่อ จองเวลาไว้บ่าย
3 ถึงก่อนเวลา 20 นาที ไม่ให้ขึ้นก่อนแฮะ ทั้ง ๆ ไม่มีขณะอื่นเลย ทำไมเจ้าหน้าที่จะตรงเผ็งขนาดนั้น รอก็รอ ข้างบนวิวสวยดี แต่ 2 - 3 นี้อากาศไม่ดี ฝนตกนิดหน่อย ไม่มีแดดเลย ลงจากหอ ไป มงมารต์ต่อ พาเดิน ไปหน้าโบสถ์ ให้ถ่ายรูป ใครจะเดินขึ้นไปข้างบน ให้บริหารเวลาเอาเอง ก็แหมให้เวลาแค่ 30 นาที ใครจะ อยากขึ้นไป ไม่ใช่ขี้เกียจพาขึ้นข้างบนนะ แต่เวลาไม่เอื้อตะหาก วันนี้ให้ใช้รถได้แค่ 12 ชั่วโมง ฉะนั้น ออก 9 โมงเช้า 3 ทุ่มต้องถึงโรงแรม จากนั้นไปทานอาหารเย็นไชน่าทาวน์ ระหว่างอาหารลูกค้ามีพิธีการเป็นทางนิดหน่อย พร้อมกับวันเกิดของลูกค้าในคณะ อิ่มแล้วกลับโรงแรม ดูเหมือนมีเวลาเยอะแต่คน
หมู่มากนะ ทำอะไรก้อช้าไปหมด เลยได้แค่นี้

วันที่ 4 ไปเที่ยวพระราชวังฟองเตนโบว์ นั่งรถลงไปทางใต้ 1 ชั่วโมง ถึงพระราชวัง ไกด์รออยู่แล้ว ทางเข้าอยู่ปีกด้านขวาของปราสาท ห้องน้ำอยู่ข้างในทางเข้า ไม่ให้นำกระเป๋าใบใหญ่เข้าข้างใน เช่น เป้ ต้องฝากในล็อคเก้อ หยอดเหรียญ 1 ยูโร มีหูฟังแจกให้คนล่ะอัน แต่คลื่นคณะล่ะช่องใช้ร่วมกันไม่ได้ วัง
ที่นี่มีเครื่องเรือนเยอะ ส่วนใหญ่มีของสมัยฟรอวซัวที่ 1 1515-1574 เฮนรี่ที่ 2 และ 3 นโปเลียน ใช้เวลาชม ชั่วโมงเศษ ๆ แล้วเข้าปารีสไปทานอาหารกลางบ่าย เกือบบ่ายครึ่ง ที่ไชน่าทาวน์ ช่วงบ่ายลูกค้าอยากซื้อของกันมาก ไปปล่อยที่ประตูชัย บอกว่าใครอยากซื้อหลุยส์ ไปได้เลย เดินจากนี้ไป 150 เมตร ส่วนใครไม่ซื้อผมพาไปประตูชัย มีตามมาไม่ถึง 10 ส่วนใหญ่ไปหลุยส์หมดเลย ซื้อกันยังกะถูกมาก ๆ ยัง ๆ ไม่สะใจ ไปกันต่อที่ห้างลาฟาแยต วันนี้ลูกค้าอยากอยู่ดึก ก็ต้องเช่ารถเพิ่ม พี่ไกด์ปารีสช่วยหาให้ แต่ได้แค่คันเดียว บอกให้หาแต่ตอนเช้าแล้ว ก็ไม่ทำ มัวแต่อืดอาดยืดยาด กรรมตกที่เราสิ เพลนเวลาใช้รถแบบพร้อมสละรถ
เลยที่ร้านอาหารเย็น เมื่อพึ่งไม่ได้ ทางสุดท้าย โทรให้แลนด์ที่ใช้ หาให้หน่อย รอประมาณ 30 นาที ก้อโทร กลับมา แต่กดราคาซะ แบบโหด เลว ๆ เลย แค่รับจากร้านอาหารเย็นไปโรงแรม 410 ยูโร จำไว้ ลูกค้าจำใจต้องเอา ไม่งั้น กลับรถไฟแน่ ๆ ทานอาหาร 2 ทุ่ม เกือบครึ่ง ถึงโรงแรม 4 ทุ่ม กว่า ๆ กลับมา พี่หัวหน้าทัวร์ อีกคนกำลังคุยที่เคาร์เตอร์โรงแรมอยู่ ได้ความว่า อาหารเช้าเนี่ย ช่วงบ่ายแลนด์โทรบอกว่าให้เริ่มได้ 6.30 น. แต่โรงแรมบอกว่า 7 โมง ยังไงกัน โทรกลับหาแลนด์ที่ลอนดอน ให้พี่เค้าคุย ทางโน้นบอกไม่รู้เรื่อง มีการ โวยกันนิดหน่อย สุดท้ายสรุปที่ 6.45 น. เพราะอยากได้เช้ากว่านั้น คณะต้องออกเดินทางไปสนามบิน 7.30 น.

วันที่ 5 ปกติวันเดินทางกลับจะเป็นอะไรที่ไม่หนักเท่าไหร่ แต่ไม่ใช้ทริปนี้ ตอนเช้ารถต้องมี 2 คัน แต่มาแค่คันเดียวก่อน พี่หัวหน้าทัวร์อีกคนน่ารักมาก บอกว่าคันพี่ผู้ใหญ่เยอะ ขอก่อนนะ อันที่จริง คันเราสิ ผู้ใหญ่เยอะกว่า เพราะคันแกมีเด็กน้อยตั้ง 3 คน คันเราไม่มีเลย รีบไปก่อนก็ได้ พยายามโทรติดต่อบริษัทรถ ด้วยที่ยังเช้าอยู่ การประสานทุกอย่างช้าไปด้วย รอจน 8 โมงแล้วยังไม่มีวี่แววเลย ลูกค้าน่ารักมากไม่สร้าง ความกดดันให้เรามากเพิ่มไปอีก และแล้วเห็นรถของดิสนี่ย์แลนด์ ไปสนามบินด้วย พระเจ้าทรงโปรดอีกแล้ว ถามคนขับว่า 40 คนพร้อมกระเป๋ารับได้เปล่า คนขับว่าได้อยู่ ราคาล่ะ คนล่ะ 17 ยูโร บอกมา 30 ก็จ่าย เอ้า ไปรถดิสนี่ย์นี่แหละ บอกลูกค้าขึ้นรถ ไปรับคนเพิ่มอีก 2-3 โรงแรม ในเครือของดีสนี่ย์นี่แหละ เราก็ร้อนใจ เวลามีไม่มากนัก ไปถึงสนามบิน 9.40 น. รีบพาไปเช็คอิน Hall 5 อาคาร 1 ต้องลงไปอีกชั้น อีกคันมาก่อน ไม่มาก ถามพี่เค้าว่าทำภาษียัง พี่เค้าบอกว่า ยังทำไม่ได้ต้องมีบัตรขึ้นเครื่องถึงทำได้ ที่เคยทำมาไม่ต้องนี่ เอ้าวิ่งไปเช็คที่เคาร์เตอร์ทำภาษี เหมือนเดินนี่ ฮวย ไม่รู้ก้อไม่รู้จักถาม เสียฟอร์มอะไรนักหนา วิ่งลงไปบอก ลูกค้าเราว่าใครมีภาษีต้องทำ ตามมา ถ้าไม่มีเข้าคิวเช็คอินได้เลย อีกคันก็วุ่นไปด้วยเอาไงกันแน่ ถ้าถามเรา ก็ให้ไปทำได้เลย ขึ้นไปช่วยเรื่องภาษีด้วย ไอ้สายการบินก้อเร่งจัง บอกไม่ทันเดี๋ยวจะปิดแล้วนะ คิวทำภาษี ไม่ยาวมาก แต่แล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กันพื้นที่ตรงนี้ไม่ให้คนผ่าน ที่ทำภาษีต้องหยุดชั่วคราว เหตุเพราะมีใครไม่รู้วางกระเป๋าทิ้งไว้ แล้วหายไปเลย โดยระบบ ต้องว่าเป็นวัตถุต้องสงสัย คราวนี้ไงล่ะบาง คนยังไม่ได้ทำภาษีเลย เงินตั้ง 400 ยูโร ไฮโซซื้อแต่ของแพง ไม่ยอมไปใหนจะทำให้ได้เวลาเหลือไม่เกิน 30 นาทีเครื่องจะออก เช็คอินเสร็จให้ทุกคนต่างคนต่างเข้าเลย รอกันไม่ไหวจะตกเครื่องเอา เราเข้าไป ข้างในก่อน แต่คิวตรวจพลาสปอตร์ยาวมาก เนื่องจากกระเป๋าตัวดีใบเดียวแหละ ถึงประตูขึ้นเครื่อง บางส่วน ขึ้นเครื่องไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ยอมขึ้น รอกันอยู่รวมไปถึงคนที่ยังไม่ได้ทำภาษี รอทำจนได้ มาถึงประตู ขึ้นเครื่องทำไฟท์ดีเดย์ 1 ชั่วโมงพอดี นี่ถ้าลูกค้าขึ้นหมดสายการบินทิ้งแน่ เจ้าหน้าที่โมโหมาก ๆ ทำไงได้
พูดถึงเรื่องแบบนี้สายการบินเค้าเสียหายมากกว่าที่เราคาดไว้มากมาย ไม่ควรทำนะจ๊ะจะบอกให้ ขึ้นเครื่องได้กุมขมับเลย มันจิ๊ดขึ้นมาซะงั้น รู้ว่าเครื่องต้องแวะโรมรับผู้โดยสารอีก 1 ชม. อะไรเนี่ย ไม่เห็นบริษัทให้รายละเอียดเลย ทำไงดีว่ะ บอกลูกค้าตรง ๆ แล้วกัน เดินไปบอกด้วยเสียงอันเป็นปกติ เครื่อง เราจะแวะรับผู้โดยสารเพิ่มที่โรม ให้คณะเรานั่งคอยในเครื่องนะครับ ดีแฮะไม่มีผลตอบสนองในทางไม่ดี เฮ้อ โล่งอก ระหว่างไปโรมมีอาหารว่างเสริฟ ทานเสร็จหลับได้งีบ เหนื่อย ไฟท์นี้แน่นเลยขึ้นจากโรม ผู้โดยสารเต็มลำพอดี ออกจากโรมมีอาหารหนักบริการ ไปถึงคูเวต 3 ทุ่มกว่า รอเปลี่ยนเครื่อง 2 ชั่วโมง อันที่จริงต้องรอ 3 ชั่วโมง แต่ใช้ไปที่ปารีสแล้วชั่วโมง 23.40 ออกจากคูเวต มีอาหารเสริฟอีก ทานเสร็จหลับ แต่เด็กแขกข้างหน้ากวนเหลือเกิน งอแงตลอดดีมีไอพอดไปด้วย ฟังยันกรุงเทพเลย

วันที่ 6 10.50 ถึงกรุงเทพแล้ว กระเป๋ามาครบหมดทุกใบ จบไปอีกงานแบบที่คิดว่าเป็นทริปที่สบาย แน่ ๆ เอาเข้าจริง มีงานเข้าตลอด แต่เพิ่มพูนประสบการ์ณใหม่ ๆ ทุกการเดินทาง บาย ๆ

1 ความคิดเห็น:

ooOhhoo กล่าวว่า...

เป็นทริปที่โหดแบบหลับตาก้อเห็นภาพจริงๆด้วย
แล้วรู้มั้ยChateau D'Aussieres Domaines
Barons De Rothchild (Lafite) แปลว่าอะไร พอดีเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมานิดหน่อย
แปลเป็นอังกฤษได้ว่า Don't Drink Too Much
Naka Because It's Too Expensive (hahaha)

ปล.เขียนเก่งระดับนี้ อย่าหยุดเขียนเลยนะ
(แวะไปอ่านคำตอบที่ตัวเองถามไว้ด้วยล่ะ)